fbpx

ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมามีเรื่อง (โคตร) ฉาว ในวงการทีวีอเมริกันว่าด้วยเรื่องการลวนลามหรือกลั่นแกล้งในรายการทอล์กโชว์รายการหนึ่ง ซึ่งในฐานะผู้ “ส่องสื่อ” อเมริกันอยู่ห่างๆ เราไม่ได้รู้สึกอะไรมากเพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เพราะการสาวไส้ในรอบนี้มันลึกและทะลุทะลวงไปจนเราได้รู้ว่า จุดเกิดเรื่องทั้งหมดอยู่ในรายการทอล์กโชว์ที่เรารักมากๆ อย่าง The Ellen DeGeneres Show

ใช่, และผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งคือเอลเลน ดีเจเนเรส เจ้าของรายการนั่นแหละ

จริงๆ เรื่องนี้จะเป็นเรื่องฉาวธรรมดาถ้ามันจบแค่ที่การกลั่นแกล้งในที่ทำงานเหมือนๆ ที่เราเคยได้ยิน แต่เพราะมี “เหยื่อ” และ “ผู้ถูกกระทำ” จำนวนมากค่อยๆ ออกมาแสดงตัวทีละคน สองคน นั่นทำให้เราเห็นว่าเบื้องหลังรายการทอล์กโชว์ที่ชวนคนดูเต้นทุกวัน แจกรถยนต์และเงินจำนวนมากให้กับคนดีแต่มีปัญหา หรือมหากาพย์การแจกของวันคริสต์มาส ที่เป็นโอกาสทองให้สินค้าทั้งหลายเอาผลิตภัณฑ์มาแจกบนหน้าจอ เพื่อแลกกับโอกาสทองในการได้อยู่ในรายการที่เรตติ้งสูงมากๆ ในช่วงกลางวันนั้น มีเรื่องฉาวโฉ่เกินกว่าที่คุณงามความดีของพิธีกร หรือคุณภาพรายการที่ยอดเยี่ยมจะมาปิดบังจนมิดแล้ว

และที่สำคัญ เรื่องนี้กลายเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของนักแสดงตลกคนหนึ่งจนป่นปี้แทบไม่มีชิ้นดี แถมไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนี้จะจบยังไง ระหว่างเธอจะยังลอยหน้าลอยตาในวงการได้ต่อไป

หรือเธอจะต้องประกาศจบการศึกษาในวงการบันเทิงอเมริกันแบบที่ผู้ถูกกระทำคนอื่นพบในชะตากรรม

Susan, I’m Gay.

ทำความรู้จักกันแบบเร็ว (มากๆ) สำหรับใครที่อาจยังไม่รู้จักพิธีกรสาววัย 62 ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในวงการบันเทิงฮอลิวูดคนนี้ เอลเลนเริ่มต้นเส้นทางบันเทิงของเธอด้วยการเป็นตลกหญิงที่ลงประกวดแข่งขันเดี่ยวไมโครโฟนจนได้รางวัล The Funniest People in America ของช่องเคเบิ้ล Showtime จนได้รับโอกาสให้ได้เดบิวต์ครั้งแรกในฐานะตลกหญิงบนเวที The Tonight Show starring Johnny Carson ซึ่งเป็นการเปิดตัวที่สวยงาม จนทำให้เธอได้โอกาสมีซิทคอมเป็นของตัวเองที่ชื่อ ellen

การได้รับโอกาสให้ผลิตละครซิทคอมในชื่อของตัวเอง เป็นเครื่องการันตีถึงการถูกยอมรับในวงการฮฮลิวูด ด้วยอารมณ์ขันที่จัดจ้านและบุคลิกที่ถูกใจอเมริกันชน จึงไม่แปลกนักที่เอลเลนจะเป็นตลกหญิงอีกคนที่ได้มีซิทคอมเป็นของตัวเอง รองจากสตีฟ ฮาร์วีย์ พิธีกรมิสยูนิเวิร์สผู้ประกาศผลผิดในตำนาน หรือพิธีกรราคาพารวยเวอร์ชั่นต้นฉบับอย่างดรูว์ แครีย์

ellen ว่าด้วยเรื่องของหญิงสาวผู้ทำงานในร้านหนังสือใจกลางเมืองนิวยอร์คและเพื่อนในวงสังคมของเธอ แก่นสำคัญที่สร้างหมุดหมายใหญ่ให้กับเธอคือการเปิดตัวว่าเธอเป็นเลสเบี้ยนในตอนหนึ่งของซิทคอมที่ชื่อว่า “The Puppy Episode” เอลเลนได้พบกับรีชาร์ด ผู้ประกาศหนุ่มที่เป็นเพื่อนสมัยเรียนของเธอและซูซาน ผู้จัดการส่วนตัว เอลเลนหลงรักซูซานตั้งแต่แรกพบ จนนำไปสู่ฉากสารภาพรักในสนามบินพร้อมประโยคในตำนาน “Susan, I’m Gay”

ฉากนี้นำไปสู่โมเมนต์ทรงอิทธิพลของวงการโทรทัศน์อเมริกัน มีผู้นัดชมละครตอนนี้เป็นหมู่คณะเป็นจำนวนมาก เช้าวันต่อมาฉากนี้ถูกพูดถึงในแทบทุกสื่อ จนนำไปส่งการแสดงความคิดเห็นทีเ่ผ็ดร้อนของคนสองฝ่ายคือ คนที่สนับสนุนกลุ่ม LGBTIQ+ ให้มีพื้นที่บนสื่อกระแสหลัก และมองว่าความรักไม่ว่าจะของเพศใดก็สวยงามเสมอ กับอีกฝ่ายที่ต่อต้านการมีอยู่ของคนกลุ่มนี้โดยเอาคำสอนทางศาสนาและอคติส่วนตัวเป็นอาวุธในการต่อสู้

ไม่นานนัก เอลเลนก็ถูกดูดกลืนให้หายไปจากพื้นที่ในวงการบันเทิง ละครซิตคอมโดนถอด สปอนเซอร์ถอนโฆษณา เธอต้องรับมือกับภาวะซึมเศร้าหลังจากการเปิดตัวว่าเธอเป็นเกย์อย่างเปิดเผย จนเธอได้รับโอกาสจากช่อง HBO ให้จัดเดี่ยวไมโครโฟนครั้งพิเศษที่เป็นการกลับมาอย่างสง่างามของเธอ พร้อมได้โอกาสให้ทำรายการทอล์กโชว์ที่เธอบอกว่ามันจะเป็นเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชมและเธอ ในชื่อ The Ellen DeGeneres Show

Let’s have a little fun, today.

ในขณะที่โอปราห์ วินฟรีย์ ยังเป็นเจ้าตลาดรายการทอล์กโชว์ภาคกลางวัน เอลเลนเริ่มรายการของเธอในฐานะน้องใหม่เมื่อปี 2003 ภายใต้การผลิตของ Warner Brothers Television. ด้วยอรรถรสความสนุกของบทพูดเปิดรายการหรือ Monologue การสนทนาที่เน้นด้านบวกของแขกรับเชิญ และ Skit ในรายการที่เธอทั้งเล่นเองไม่ว่าจะเป็นการล้อเลียนหนังเด่น ละครดัง รายการฮิต หรือการเล่นเกมย่อยในรายการที่ต่อยอดเป็นแอพลิเคชั่นยอดโหลดอันดับหนึ่งอย่าง Heads Up! ที่เป็นแรงบันดาลใจให้แอปจากผู้ผลิตไทยอย่าง “ชาเย็น” 

ด้วยมวลพลังงานบวกที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะซึ่งต่างจากโอปราห์ที่เน้นเรื่องฮอต ประเด็นเด่น แต่ต้องใช้ความคิดในการดูเพราะมันเป็นประเด็นที่หนัก ทำให้เอลเลนกลายเป็นพิธีกรหน้าใหม่ที่แม่บ้านภาคกลางวันยอมรับในความขบขันและพลังงานดีของรายการ นอกจากนี้ใน The Ellen DeGeneres Show ยังมีอีกสองสิ่งที่ทำให้รายการได้รับความนิยมถึงขีดสุด

หนึ่ง-มหกรรมการแจกของต่อเนื่อง 12 วันในช่วงคริสต์มาสอย่าง ellen 12 Days of Giveaways ที่มียอดจองบัตรเข้าชมรายการสูงที่สุด แถมเป็นช่วงเวลาที่มีอัตราการซื้อของสูงที่สุดของปีอย่างวันคริสต์มาส ทำให้ทุกคนต่างเฝ้ารอถึงความเว่อวังของผลิตภัณฑ์และสินค้าที่จะนำมาแจกในรายการ ตั้งแต่ทีวีสีระดับ 4K แก๊ดเจ็ตสุดคูล ตั๋วเครื่องบินไปกลับที่ไหนก็ได้ในโลก แพคเกจที่พักสุดหรูในหลายประเทศ หรือแม้กระทั่งไอโฟนรุ่นล่าสุดก็ทำให้คนกรีดร้องกันทั้งสตูดิโอมาแล้ว!

สอง-การแจกของรางวัลเพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากแต่เป็นผู้ที่ทำความดีให้กับครอบครัวหรือชุมชน เริ่มตั้งแต่เฮอร์ริเคนแคทรินาที่ทำลายบ้านเกิดของเอลเลนอย่างเมืองนิว ออร์ลีนส์ ในปี 2548 ทำให้เธอได้พบกับไดอาน่า บรีสลีย์ หนึ่งในผู้ประสบภัยที่สูญเสียทุกอย่าง เธอเห็นคุณค่าความดีของการดูแลญาติพี่น้องและครอบครัว จนเธอมอบรถแคดิแลค (ย้ำ แคดิแลค) ให้ไดอาน่าหนึ่งคัน

จนนำมาสู่การหอบรถคอนเทนเนอร์ที่มีของขวัญจากช่วง 12 Days of Giveaways ไปมอบให้ถึงบ้าน หรือการมอบเช็คขนาดใหญ่สดๆ กลางรายการให้กับผู้ร่วมรายการ บ้างก็แจกรถยนต์เป็นคัน หรือที่พีคสุดๆ คือการคัดเลือกผู้ชมที่ส่งจดหมายเข้ามาเองบ้าง เพื่อนฝูงหรือคนในครอบครัวส่งให้บ้างเพื่อประกาศความดีของเขาและเธอ จนเอลเลนมอบเงินให้ผู้ชมทั้งห้องส่งกว่า 400 ท่านรวมๆ กัน 1 ล้านเหรียญ (จะได้ตกคนละ 2,500 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยราว 77,400 บาทเมื่อค่าเงิน 1 ดอลลาร์ ประมาณ 30.97 บาท) 

Be kind to one another.

นอกจากเนื้อในของ The Ellen DeGeneres Show ที่ทำงานด้วยพลังงานแห่งความสุขตั้งแต่เปิดยันปิดรายการ เอลเลนขยายจักรวาลของเธอไปอย่างไพศาลตั้งแต่การเปิดเกมโชว์ภาคกลางคืนทางสถานีโทรทัศน์ NBC ในชื่อ Ellen Game of Games ที่บางสัปดาห์เรตติ้งชนะละครค่ำบางเรื่องที่ว่าหินๆ มาแล้ว และกำลังเข้าสู่ซีซั่นที่ 4 ของรายการที่โปรดัคชั่นอลังการดาวล้านดวงมากๆ หรือการเปิดรายการพิเศษในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเมื่อปีที่แล้วกับ Ellen Greatest Night of Giveaways ที่พูดถึงการสนับสนุนคนดีที่ขาดทุนทรัพย์ด้วยการแจกเงินจากผู้สนับสนุนหลักอย่างธนาคาร Greendot ไปถึงหลักล้านดอลลาร์ (ผู้ที่ได้ของขวัญใหญ่ที่สุดคือบ้านเป็นหลังเลยนะ!)

ตลอดเวลาที่เอลเลนมีพื้นที่สื่อซึ่งทรงอิทธิพล เธอใช้ความเป็นตัวเองในการเรียกร้องหรือ Call-Out ให้กับหลายประเด็นสำคัญ ทั้งเหตุการณ์การแสดงจุดยืนเรื่องกฎหมายแต่งงานเพศเดียวกันโดยการเผชิญหน้าตรงๆ กับจอห์น แมคเคน ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับบารัค โอบามา ในปี 2004 ซึ่งการที่โอบาม่าชนะการเลือกตั้งจึงส่งผลให้กฎหมายนี้ถูกประกาศใช้ จนทำให้เธอได้แต่งงานแบบเป็นเรื่องเป็นราวกับภรรยาของเธอ-พอร์เทีย เดอ รอสซี หรือการออกมาพูดไว้อาลัยให้กับเด็กนักเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ฆ่าตัวตายเพราะถูกปฏิเสธจากการสารภาพรัก แม้กระทั่งการดูแลรักษาสัตว์ป่าและระบบนิเวศดังที่เธอเปิดมูลนิธิ The Ellen Find และแคมป์ดูแลรักษากอริลลาในแอฟริกาใต้ร่วมกับมูลนิธิ Dianne Fosey Foundation

ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้เอลเลนเป็นที่รักของผู้คนมากขึ้น ตั้งแต่ผู้คนตัวเล็กตัวน้อยในฐานะผู้ชม เพื่อนดารานักแสดงหรือผู้มีอิทธิพลที่ทำให้เธอได้รับเหรียญรางวัล Presidental Medal of Freedom ในปี 2559 

ทั้งหมดนี้ถ้ามองในแง่การสร้าง “แบรนดิ้ง” ของผู้หญิงคนหนึ่งในดีงามทั้งการอุทิศตนให้การเรียกร้องสิทธิ์ของผู้มีความหลากหลายทางเพศ การรักษาระบบนิเวศของโลก หรือการช่วยเหลือผู้คนผ่านพื้นที่สื่อของเธอเอง ทุกอย่างกอปรกันจนส่งผลให้เธอกลายเป็นที่รักของอเมริกันชน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีจนเราอาจหลงรักเธอไปในทันตาที่เราดูผลงานของเธอจบ

Today’s the day we’re not waiting for.

ตั้งแต่วิกฤตการณ์ COVID-19 ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตคอนเทนต์ต้องหยุดชะงัก ทุกรายการต้องถ่ายทำจากบ้าน ไม่เว้นแม้แต่รายการของเอลเลนที่ต้องจัดรายการผ่านวิดีโอคอลล์ ความเลวร้ายของมหากาพย์ลากไส้เจ้าแม่ทอล์กโชว์เริ่มตั้งแต่การแคนเซิลตารางถ่ายทำทั้งหมดที่ทำให้พนักงานกว่า 200 ชีวิตต้องว่างงานเฉียบพลันในชั่วข้ามคืน มีแค่พนักงานบางส่วนเท่านั้นที่ยังต้องทำงานจากบ้าน จึงเป็นชนวนที่ทำให้ทีมงานรู้สึกถึงความ “ไม่เป็นธรรม” ในการถูกแคนเซิลงานโดยไม่มีวิธีแก้ไขหรือการประกาศอย่างเป็นกิจจะลักษณะ

หรือการที่เธอเล่นตลกเปิดรายการหรือ Monologue ว่าการกักตัวอยู่แต่ในบ้านหรือ Quarantine นั้นเหมือนติดคุกทั้งเป็น ซึ่งมุกนี้กลับไม่ตลกในสายตาของผู้คนจำนวนมาก นักกิจกรรมกลุ่ม Until Freeedom ถึงขั้นออกมาทวีตว่า เอลเลนที่จัดรายการในแมนชั่นแพงๆ มีอาหารดีๆ กิน ไม่ควรต้องแสดงความไม่พอใจที่การกักตัวเหมือนติดคุก เพราะยังมีคนที่ต้องเสียงานการ เสียรายได้ หรือทำงานอยู่กับความเสี่ยงการติดเชื้อโรคร้ายนี้อีกเป็นจำนวนมาก

ในช่วงเวลาเดียวกัน สำนักข่าวต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ข่าวซุบซิบหรือรายการข่าวบันเทิงกระแสหลักอย่าง Entertainment Tonight เริ่มนำเสนอบทสัมภาษณ์พฤติกรรมเชิงลบของเธอ ตั้งแต่อดีตการ์ดรักษาความปลอดภัยออกมาให้ข่าวถึงความไม่เป็นมิตรของเอลเลนในการวางตัวกับพนักงานปฏิบัติการระดับตัวเล็ก หรืออดีตทีมงานออกมาเล่าว่าเธอไม่มีสิทธิ์มองหน้าเอลเลน และเอลเลน “ไม่ยิ้ม” เลยในระหว่างที่เธออยู่ในสำนักงานก่อนจะสาวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวไปถึงห้องบันทึกรายการ แม้กระทั่งหนึ่งในยูทูปเบอร์ที่ทรงพลังระดับโลกอย่าง Nikkietutorials ซึ่งในวาระที่เปิดตัวว่าเธอคือ Transgender ไม่ใช่หญิงแท้ จนเอลเลนต้องเชิญเธอมาออกรายการกล่าวถึงความไม่น่าโสภาของการร่วมรายการทอล์กโชว์นี้ว่า เธอไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากทางทีมงาน โดยไม่มีการจัดห้องพักแขกรับเชิญ และไม่มีการบอกว่าห้องน้ำอยู่ที่ใด ที่สำคัญ ตัวพิธีกรเองไม่ได้มีอารมณ์ขันเมื่ออยู่หลังกล้อง และเย็นชาใส่เธอมากๆ

เมื่อผู้ที่มีประสบการณ์ “ไม่ประทับใจ” ในตัวพิธีกรหญิงผู้ทรงอิทธิพลเริ่มแสดงตัวออกมามากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ จนนำไปสู่การขุดคุ้ยเรื่องในองค์กรที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในพื้นที่แห่งความสุขเช่น มีการคุกคามทางเพศเกิดขึ้นโดยฝีมือของโปรดิวเซอร์ระดับสูง 2 คนที่ทำต่อพนักงานระดับล่างของรายการ หรือการใช้ถ้อยคำไม่สุภาพในที่ทำงานซึ่งส่งผลให้พนักงานลาออกจากรายการ และออกมาให้ข่าวกับสื่อ 

ยิ่งถ้าให้ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่สุด พฤติกรรมของเอลเลนเองในการล้อเลียนถากถางที่เธอทำกับทีมงานหลายๆ คน เช่นครั้งที่เอลเลนจับ tWitch ดีเจเจ้าประจำมาเปลื้องผ้าและแวกซ์ขนสดๆ กลางรายการ หรือการแกล้งแอนดี้ แลสเนอร์-Executive Producer ของรายการอยู่เป็นประจำ ทำให้เราเห็นได้ชัดมากว่า เธอไม่ให้เกียรติแม้กระทั่งทีมงานที่คอยทำงานให้เธอ

แต่แอนดี้ไม่เคยพูด-น่าจะไม่เคยพูดให้สื่อฟัง เพราะเขารับรายได้จากการนั่งเป็น Executive Producer ถึง 5 ล้านเหรียญต่อปี

Somebody Please stop the clock.

ในการเปิดซีซั่นที่ 18 ของรายการ แน่นอนว่าไม่มีผู้ชมเดินทางมาชมรายการสดๆ อยู่แล้ว เธอเริ่มซีซั่นใหม่ของรายการด้วยการกล่าว “ขอโทษ” ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเธอได้ลงมาสอบสวนเหตุการณ์ฉาวที่เกิดขึ้นในองค์กรด้วยตัวเอง และรับปากกับผู้ชมด้วยตัวเองว่าเธอจะทำทุกทางให้รายการนี้กลับมาเป็นพื้นที่ปลอดภัยและทุกคนสามารถสนุกกับมันได้โดยไม่มีดราม่าอะไรอีก

ในคลิปเปิดรายการความยาว 7 นาทีของรายการ ถ้าใครได้ชมและลองโฟกัสในทุกคำของเธอดีๆ ทั้งหมดไม่มีการขอโทษอย่างใส่ใจและจริงใจเลยแม้แต่น้อย เช่นว่า “ถ้าฉันเคยทำอะไรให้ใครในหมู่ทีมงานไม่พอใจ ฉันต้องขอโทษจริง” “เราใช้เวลาหลายสัปดาห์เปลี่ยนในสิ่งที่จำเป็นต้องเปลี่ยน และนี่คือการเริ่มต้นบทใหม่ของเรา”

รวมถึงการเล่นมุก “Be Kind Lady” ซึ่งมาจากวลีปิดรายการที่ว่า “Be kind to one another.” ที่เธอพยายามสื่อสารในลักษณะที่ว่า “ฉันก็เป็นนักแสดงนะ และฉันเป็นนักแสดงที่ดีด้วย” ก็คงไม่ต้องพูดมากแล้วว่าจริงๆ เธอรู้สึกกับเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างไร

ในคลิปย้อนหลังนี้ที่ถูกอัพโหลดบนยูทูป มีคนกด Dislike มากกว่า Like ถึง 2 ใน 3 และนั่นส่งผลทำให้ยอดวิวรวมของรายการตกลงไปถึง 38% จากสถิติเดิม รวมถึงพ่ายแพ้น้องใหม่ในรายการทอล์กโชว์อย่าง Kelly Clarkson และเจ้าตลาดตัวพ่ออย่าง Dr.Phil 

ถ้าจะบอกว่าภาพลักษณ์ที่เธอสั่งสมมาทั้งหมดตลอด 18 ปีในการทำรายการทอล์กโชว์ที่ชุบชีวิตให้เธอกลับมาเป็นที่รัก ที่ยอมรับในวงการทีวีอเมริกันได้อีกครั้งถูกทำลายลงไปหมดแล้วใช่หรือไม่

ก็คงต้องบอกอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ใช่”

เพราะพฤติการณ์เหล่านี้ถูกแสดงออกด้วยการทำตัวลอยตัวเหนือดราม่า ไม่ให้เกียรติคน และไม่มีการลงมือเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังถึงเนื้อหารายการและการวางตัวต่อหน้ากล้องของเธอ

จะบอกว่าเธอ “ไม่แคร์” แล้วก็ได้มั้ง

ถึงตอนนี้ The Ellen DeGeneres Show ถูกต่อสัญญาจนถึงปี 2021 นั่นก็คือซีซั่นที่ 19 ของรายการ ด้วยความนิยมที่เสื่อมถอยลงไปกว่านี้ ถ้าการเปิดฤดูกาลเธอเลือกที่จะแสดงออกอย่าง “จริงใจ”​ กับผู้ชมมากกว่านี้ หรือเลือกจะทำให้พื้นที่รายการกลายเป็นพื้นที่แห่งความสุขจริงๆ ด้วยการแจกเช็คทุกวันหรือแจกของที่ใหญ่ขึ้นไปอีก

เราว่ามันไม่ทันแล้ว เพราะทุกอย่างมันกำลังจะพังเพราะตัวของเธอเอง