fbpx

ฉาย บุนนาค เคลียร์ทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับเนชั่นทีวี แบบไม่หมกเม็ด! พร้อมดึง “อดิศักดิ์” กลับมาร่วมทีมเนชั่นทีวี

หลังจากที่มีกระแสข่าวจากหลายฝั่ง เกี่ยวกับการลาออกของผู้ประกาศข่าว จนไปสู่การลาออกจริงของผู้ประกาศข่าวหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น กนก-ลักขณา รัตน์วงศ์สกุล หรือ อัญชะลี ไพรีรัก – สันติสุข มะโรงศรี รวมทั้งอีกหลายท่าน ทำให้เนชั่นอาจระส่ำระส่ายไปมากพอสมควร วันนี้ (10 พฤศจิกายน 2563) ฉาย บุนนาค ประธานกรรมการบริหารเนชั่นทีวี พร้อมด้วยทีมผู้บริหารร่วมแถลงข่าวถึงทิศทางในอนาคตของเนชั่นทีวี

โดยฉาย บุนนาคเริ่มตอบคำถามจากพิธีกรถึงกระแสข่าวการดีลของอดีตภรรยาของนักการเมืองท่านหนึ่ง ซึ่งฉายได้ให้คำตอบว่า “เราเป็นบริษัทมหาชน มีผู้ถือหุ้นมากมาย แต่ว่าผู้ถือหุ้นหลักยังเหมือนเดิม ไม่มีชื่อของบุคคลทางการเมืองเข้ามาถือหุ้น ไม่มีการเปลี่ยนโครงสร้างการถือหุ้น คณะกรรมการยังชุดเดิม มีแต่จะพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ”

หลังจากนั้นฉายและทีมผู้บริหารยังย้ำต่อด้วยว่า “เนชั่นกรุ๊ปจะครบ 50 ปีในปีหน้า เรายืนยันจะเป็นสถาบันสื่อมืออาชีพ รายงานข้อเท็จจริงให้กับสังคมรับรู้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นยังยืนยันได้ว่า คนข่าวอยู่ครบ และต่อไปนี้ทิศทางของเนชั่นเป็นคนข่าวที่ทำงานอย่างมืออาชีพ รายงานข่าวตรงกับข้อเท็จจริง การรายงานข่าวที่ผ่านมาในสถานการณ์ขัดแย้ง ก็มีการวิจารณ์ มีทั้งฝ่ายที่ชอบและไม่ชอบ อันไหนที่สังคมเห็นว่ายังด้อยไปเราก็จะปรับปรุงแก้ไข เรารับฟังความเห็น”

ซึ่งหลังจากการลาออกของผู้ประกาศข่าว ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นหัวใจหลักที่ทำให้เนชั่นทีวีคว้ากระแสและเรตติ้งมาได้พอสมควรนั้นลาออกไป ในอนาคตเนชั่นจะเป็นอย่างไรต่อไป? ฉายและทีมผู้บริหารได้ให้คำตอบเพิ่มเติมว่า “เรายังคงเข้มข้นเหมือนเดิม ทั้งเรื่องการเมืองที่เป็นจุดเด่น แต่เราจะเพิ่มเรื่องสังคมเข้ามามากขึ้น ซึ่งเป็นจุดอ่อนของเรา ต้องปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราถูกวิจารณ์ ถูกป้ายว่าเลือกข้าง ที่ผ่านมายอมรับก็กระทบการทำงานของผู้สื่อข่าวภาคสนาม ปัญหาเหล่านี้สะท้อนถึงผู้บริหารเป็นระยะ ๆ ผู้บริหารให้ความมั่นใจว่าเราจะกลับไปเป็นความเป็นสถาบันสื่อ เมื่อเรากลับสู่ทิศทาง Nation Way พนักงานทุกคนก็พร้อมที่จะสนับสนุน”

“เห็นน้องนักข่าวภาคสนาม รายงานข่าวการชุมนุมแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ก็ต้องปิด Logo ไมค์ ไม่มีไมค์เนชั่น หามุมห่าง ๆ ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในขณะที่ช่องอื่นรายงานกลางม็อบได้สบาย ๆ ทำให้เราตั้งคำถามตัวเองว่าเรามาถึงขนาดนี้แล้วหรือ สิ่งที่ดีที่สุดคือกลับไปสู่สถาบันสื่ออย่างมืออาชีพ อย่าง Nation Way ที่เคยทำมา ทุกคนก็จะมีความภาคภูมิใจในการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด การที่เราดึงปรับแม้จะเบี้ยวไปบ้างระยะหนึ่ง เราสามารถทำได้หากทุกคนช่วยกัน”

หลังจากนั้นจึงเป็นช่วงถามตอบของสื่อมวลชนกับผู้บริหาร ส่องสื่อจึงเริ่มด้วยคำถามที่ว่า มีหลายกระแสว่าจะดึงทีมงานเก่าจากเนชั่นในอดีตเข้ามาจริงไหม? ฉายให้คำตอบโดยเริ่มต้นจากการเปรียบเปรยว่า “นกที่บินไปไหนก็มีโอกาสบินกลับมา เรามีโอกาสทาบทามพูดคุยจริงครับ เดี๋ยวผลออกมาเป็นทิศทางไหนเราจะบอกแน่นอน” พร้อมยังบอกต่อว่า “เรามีการทาบทางหารือผู้ถือหุ้นทุกราย และผู้ที่เริ่มสร้างเนชั่นทีวี แต่เรายังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเป็นรายไหน”

หลังจากนั้นส่องสื่อจึงถามต่อถึงผลประกอบการของเนชั่นทีวีเอง มีผลต่อการปรับกลยุทธ์ของการนำเสนอข่าวไหม? ฉายตอบอย่างมั่นใจว่า “มีผู้ประกาศที่ลาออกก็เป็นไปตามธุรกิจ ผมคิดว่าไม่มีผลทางธุรกิจ แต่มีผลทางจิตใจ ไม่ว่าจะจากไปแบบไหนก็ตาม พี่กนก พี่ธีระ คือบุคลากรที่อยู่กับบริษัทนี้มานาน ทำคุณประโยชน์มากมายให้กับองค์กร และควรเป็นต้นแบบให้พนักงานทุกคนในการทำงานและการดำเนินชีวิต ถือว่าเป็นบุคลกรสื่อที่ทำมาได้ดีตลอด ไม่เข้ายุ่งเกี่ยวกับกลุ่มทุนหรือนักการเมือง ประตูของเนชั่นยังเปิดรับพี่ ๆ ทุกคนเสมอ ไม่เคยปิด”

“เลือดทุกหยดจากพี่ ๆ ที่จากไปก็เป็นสีน้ำเงิน คงมีแต่คนที่มองโลกในแง่ร้าย จะกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่คนที่กล้าหาญ จะมองเห็นเป็นโอกาส เราจะปรับปรุงการทำงานให้สร้างสรรค์ประโยชน์ของชาติ ตรวจสอบทุจริต เราไม่กลัว หากทำตามจริยธรรมสื่อ นี่คือรากแก้วขององค์กรที่ไม่ถูกทำลาย การจากไปของบุคลากรแน่นอนมีความใจหาย สองท่านนี้อยู่อย่างตำนานและก็จัดรายการวันสุดท้ายอย่างตำนาน”

หนังสือ Nation Way

ฉายยังย้ำว่า “แน่นอนมีบุคลากรที่มีคุณภาพ เข้ามาและออกไปตลอดช่วง 50 ปีที่ผ่านมา และในตอนนี้เราได้มีการทาบทามผู้บริหารบางท่านมาจริง”

หลังจากนั้นสื่อต่าง ๆ จึงเริ่มทยอยถาม เริ่มจากการทาบทามคุณสุทธิชัย หยุ่น ว่าจะมีความเป็นไปได้มากแค่ไหน ฉายตอบกลับว่า “ผมไม่ได้พูดชื่อคุณสุทธิชัย แต่เราจะมีการประชุมการบริหารวันนี้ และกรรมการบริหารบริษัทในวันพฤหัสบดีนี้ (12 พฤศจิกายน 2563) เรามีการทาบทามคุณอดิศักดิ์จริง และจะมีการเสนอชื่อในวันพฤหัสบดีนี้”

ส่วนการนำเสนอข่าวที่ผ่านมา มีผลอะไรขึ้นถึงกลับไปใช้กรอบของ Nation Way เหมือนเดิม ทีมผู้บริหารตอบกลับว่า “กรอบของ Nation way เป็นหลักการทำสื่อที่หลายสถาบันการศึกษานำไปใช้ หลายที่เอาไปใช้ Nation way สามารถเขียนปรับปรุงได้ทุกยุคทุกสมัย อย่างฉบับแรก ๆ ก็จะไม่มีจริยธรรมในการใช้สื่อ Social Media แม้มีการปรับปรุงแต่หลักการยังคงเดิมคือรายงานอย่างเป็นธรรม แม้จะไม่มีความเป็นกลาง แต่การรายงานข่าวจะกระทบใครต้องตรวจสอบก่อนรายงาน”

ในขณะเดียวกัน ฉายก็ได้เสริมต่อว่า “จุดยืนของเราชัดเจน เราเป็นองค์กรสื่อ และเราเป็นประชาชนคนไทย ดังนั้นเรามีหน้าที่สำคัญอยู่แล้ว คือการปกป้องประเทศชาติ ปกป้องสถาบัน เราไม่ได้เปลี่ยนจุดยืน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเราและคนไทยทุกคน เราไม่เปลี่ยนตรงนี้ เราเป็นองค์กรสื่อมวลชน ผมอาจอายุน้อยกว่าองค์กร แต่ผมต้องมาสานต่อ ทำหน้าที่ต่อไป ตามวิถีของ Nation Way”

เมื่อถามถึงผลกระทบจากการแบนเนชั่นในโลกออนไลน์ ว่ามีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน? ฉายตอบกลับไปยังสื่อมวลชนว่า “ก็นิดหน่อยครับ แต่องค์กรเราก็เข้มแข็ง วันพฤหัสบดีนี้ (12 พฤศจิกายน 2563) จะประชุมกรรมการบริษัทด้วย เท่าที่ดูเรามีกำไรไม่ได้ขาดทุน แม้ว่าทีวีดิจิทัลแข่งกันดุเดือด เราก็แข็งแรง ภาระหนี้สิ้นเราก็แก้ไปหมดแล้วเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา เรามองว่าเนชั่นคือองค์กรพิเศษ ทุกคุณที่อยู่จะรัก แม้จะย้ายออกไปแล้วก็คิดถึงและอาจกลับมาก็ได้ เราเปิดโอกาสให้เลือดเนชั่นกลับมาร่วมอุดมการณ์”

ซึ่งหลังจากการแถลงข่าวจบไป และมีชื่อคุณอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ ที่กำลังจะได้รับการเสนอชื่อให้เป็น CEO ของเนชั่นทีวี คุณอดิศักดิ์จึงโพสต์บน Social Media ของตนเอง ถึงการพูดคุยกับฉาย บุนนาค ถึงแนวทางในการทำงานร่วมกันของเนชั่นทีวีเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ และเป็นการตอบตกลงแบบเป็นนัยยะสำคัญด้วยเช่นกันว่าเขาจะกลับมาอย่างแน่นอน ว่า เขาต้องการให้สถานีข่าวโทรทัศน์แห่งนี้เป็นที่ประชาชนให้ความไว้วางใจในทุกข่าวสารและการวิเคราะห์ที่นำเสนอ โดยตระหนักว่าความน่าเชื่อถือเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่ามากที่สุด ซึ่งช่อง Nation TV จะต้องยกระดับการทำข่าวให้ได้มาตรฐานของสถานีข่าวทั่วโลกพึงมี ด้วยการทำหน้าที่หลักๆ เช่น

ทำหน้าที่ Gatekeeper “ผู้เฝ้าประตูข่าวสาร” เน้นการนำเสนอความจริง ความถูกต้องที่ผ่านการตรวจสอบ กลั่นกรองอย่างปราศจากอคติ ไม่เน้นความเร็ว เพราะปัจจุบันข่าวสารบน Social Media จากทุก ๆ คนที่แข่งกันทำหน้าที่เสมือนนักข่าว ทำให้มีทั้งความเร็วและปริมาณ ปะปนไปกับข่าวที่ไม่น่าเชื่อ ไม่ถูกต้อง  สื่อหลักอย่าง Nation TV จำเป็นจะต้องทำหน้าที่กลั่นกรอง ตรวจสอบความจริงและความถูกต้อง ก่อนนำเสนอผ่านช่องทางต่าง ๆ ภายใต้แบรนด์ Nation TV

แฟ้มภาพ

ทำหน้าที่เป็น “กระจก” ส่องสังคม ที่ไม่บิดเบี้ยว ซื่อสัตย์ในการทำหน้าที่สะท้อนความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างรอบด้านมากที่สุด เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน และทำหน้าที่ “ตะเกียง” ส่องสังคม กำหนดวาระทางสังคม Setting Agenda เป็นดั่งตะเกียงส่องแสงสว่างแก่สังคม ให้มองเห็นวาระทางสังคมที่พึงมี ทำให้สังคมตื่นรู้ มองเห็นอย่างกระจ่างแจ้ง ถึงประเด็นปัญหาสำคัญ ๆ ของสังคม เพื่อทำให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

นอกจากนั้น ยังต้องทำหน้าที่ Watchdog หมาเฝ้าบ้าน ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน เฝ้ามอง ติดตามและตรวจสอบ “กลิ่น” ที่มีความไม่ชอบมาพากลในการทำงานของภาครัฐ ย้ำเตือนให้ทำงานเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณะ และทำหน้าที่ “โรงเรียนของสังคม” องค์กรเนชั่นจะต้องทำหน้าที่เสมือนเป็นโรงเรียนของสังคม เป็นแพลตฟอร์มทางสังคมที่เปิดกว้างสำหรับทุกภาคส่วนในสังคม ในการสร้างเสริมองค์ความรู้ใหม่ๆ นำเสนอออกไปสู่สังคม ให้สังคมได้เรียนรู้ร่วมกันเสมือนเป็นโรงเรียนของสังคม เพื่อขับเคลื่อนให้สังคมไทยก้าวทันโลกยุคดิจิทัล

แน่นอนว่าทิศทางต่อไปของเนชั่นทีวีน่าจับตามองพอ ๆ กับการย้ายช่องของผู้ประกาศข่าวทั้ง 7 คนที่ลาออกไปว่าจะเป็นอย่างไรกันต่อไป แต่นี่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ภาคประชาชนร่วมกำหนดและผลักดันสื่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อสังคม และนำเสนอข่าวอย่างมีจรรยาบรรณ จริยธรรม และคุณธรรม ย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของสื่อนั้น ๆ ในระยะยาวต่อไป และนี่คงเป็นหนึ่งบทเรียนที่ต้องรอดูกันว่าเนชั่นทีวีจะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือกลับมาได้อีกครั้งหรือไม่ จับตามองอย่างไม่กระพริบตากันนะครับ