fbpx

**บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ The Modernist เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2565**

หลายคนอาจจะแปลกใจว่าทำไมช่อง 3 ถึงกล้านำละคร “คุณหมีปาฏิหาริย์” ลงในช่วงเวลาไพร์มไทม์ คือวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ 20:20 น. จนทำให้เกิดกระแสตอบกลับจากทั้งผู้ที่ไม่ได้เห็นด้วยจากการเห็นตัวอย่างละคร และผู้ที่ชื่นชมการฉีกกรอบของช่อง 3 ในการนำเสนอละครรสชาติใหม่ๆ ของช่องตนเอง แน่นอนว่าใครหลายคนได้ดูตัวอย่างแล้วอาจนึกว่าเป็นละครวายเหมือนที่หลายๆ ช่องก่อนหน้านี้ได้ผลิตไปแล้ว แต่ถ้าลองดูในตัวเนื้อเรื่องจริงๆ เราอาจจะได้พบกับอะไรบางอย่างที่น่าสนใจและผมมองว่านี่คือสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรพลาด “คุณหมีปาฏิหาริย์” เลยสักตอน

เรื่องแรกที่คุณหมีปาฏิหาริย์ได้พูดถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือการยอมรับตัวตนของความหลากหลายทางเพศ ซี่งอันที่จริงเนื้อเรื่องพยายามสอดแทรกในแต่ละจุด ไม่ว่าจะเป็นการที่พีรณัฐพูดกับครูในครั้งที่กลับมาเจอกันที่โรงเรียน หรือการยอมรับในครอบครัวของเกณฑ์สิทธิ์ ที่ครอบครัวนั้นเข้าใจในสิ่งที่ลูกเป็นและคอยสนับสนุนอยู่เสมอ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ใช่เป็นการยัดเยียดบทเข้าไปเพื่อทำให้คนดูงง แต่เป็นการปูเนื้อเรื่องที่ทำให้คนในสังคมยอมรับและเข้าใจตัวตนของความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันในสังคมไทยยังมีคนไม่เข้าใจความหลากหลายทางเพศอีกเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว

และเมื่อเราพูดถึงเรื่องความหลากหลายทางเพศแล้ว สถาบันในครอบครัวก็เป็นส่วนที่สำคัญเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน เพราะในเนื้อเรื่องเองครอบครัวของแต่ละคนก็ล้วนมีปัญหาที่เกิดจากอดีตแทบทั้งสิ้น ทุกคนต่างไม่ปล่อยวาง หรือแม้แต่กระกระทำของพีรณัฐที่มีแต่แม่ ไม่ว่าจะเป็นการด่าหรือการตะโกนออกมา ซึ่งคนดูจำนวนหนึ่งรู้สึกว่าการกระทำนี้ทำไปเพื่ออะไร แต่ถ้าดูจากสถานการณ์สังคมไทยจริงๆ ครอบครัวที่มีพ่อที่ค่อนข้างเคร่งครึม และขาดการดูแลให้ความอบอุ่นก็ย่อมนำมาซึ่งผลกระทบที่มีต่อลูกไม่มากก็น้อยเช่นกัน ปัจจัยนี้เองที่มาถึงตอนที่ 7 เราอาจจะยังไม่ได้เห็นฉากนี้แบบเต็มๆ แต่เชื่อว่าการเล่าเรื่องหลังจากนี้เราจะได้เห็นเบื้องหลังว่าทำไมพีรณัฐถึงมีตัวตนแบบนี้ และไม่ได้รักพ่อเหมือนคนอื่นเขา

นอกเหนือจากนี้ อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญคือการไม่เข้าใจกันระหว่างแม่กับณัฐ ซึ่งสิ่งนี้เป็นอีกสิ่งที่วัยรุ่นและผู้ใหญ่ต่างเป็นกันในสังคมไทย บางคนอาจจะมีความคิดแบบหนึ่ง แต่อีกคนอาจจะมีความคิดที่แตกต่างกัน อาจส่งผลทำให้เกิดความไม่เข้าใจและไม่สามารถเข้าหากันได้ ซึ่งในเนื้อเรื่องการมี “เต้าหู้” มาเป็นกาวใจสามารถทำให้คนดูค่อยๆ ขบคิดจากสิ่งที่ละครพยายามจะสื่อได้ค่อนข้างดี และหลายครั้งในฐานะของลูก พีรณัฐเองก็พยายามอยากแก้ไขในสิ่งที่ตนเองทำ ซึ่งเป็นผลมาจากการมีเพื่อนหรือมีเต้าหู้ในการช่วยบอกถึงปัญหาที่ณัฐยังคงเกิดขึ้นอยู่เป็นอย่างดี

อีกสิ่งหนึ่งที่ละครเรื่องนี้พยายามเล่าเรื่อง คือการที่เราควรให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ใกล้ๆ และสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ไปด้วยกัน ซึ่งในเนื้อเรื่องเต้าหู้พยายามสื่อสารไปกับทั้งสองฝั่งว่า “การที่เราคิดถึงใครสักคนที่อยู่ไกล มันก็เป็นเรื่องที่ดีนะ แต่การที่เรานึกถึงคนที่อยู่ใกล้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเช่นเดียวกัน” สิ่งนี้ถ้ามองในมุมสังคมไทย เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ไม่ว่าจะเป็นคนรักหรือคนในครอบครัว สิ่งนี้ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องหันหน้ามาเรียนรู้และทำความเข้าใจกันและกัน

อีกฉากที่ผมประทับใจจนทำให้น้ำหูน้ำตาไหล คือฉากที่พ่อของหนึ่งเห็นเต้าหู้แล้วหน้าเหมือนหนึ่ง พ่อคิดถึงและสวมกอดเต้าหู้ หรือฉากที่แม่ของณัฐคิดถึงแสนอยู่เสมอๆ เห็นหน้าแสนตลอดเวลาทุกครั้งที่ทำกิจกรรมอยู่ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บปวดของคนที่ยังอยู่เมื่อคนหนึ่งจากไป และยังสะท้อนให้เห็นถึงการที่เรามีคนที่ดีอยู่ใกล้ๆ เรา เราควรทำความดี ใส่ใจ และให้คุณค่ากับเขา ไม่ใช่นึกถึงเมื่อขาจากไป เพราะเราไม่รู้หรอกว่าวันไหนที่คนที่เรารักจะจากไป และวันนั้นอาจจะสายเกินไปแล้ววก็ได้ ซึ่งจะสอดคล้องกับสิ่งที่แม่ณัฐพูดกับเต้าหู้ว่า “ถ้าเรารักใครสักคน ทุกสิ่งที่เราทำมันจะเต็มไปด้วยความใส่ใจ”

แน่นอนว่าพอเล่าถึงบทเรียนที่เราพูดกันแล้ว ก็คงจะนึกถึงอดีตของใครหลายๆ คน และใครหลายๆ คนก็คงมีมุมของความอ่อนแอและความเจ็บปวด ไม่ว่าเขาจะดูภายนอกเป็นคนอย่างไรก็ตาม แต่แน่นอนว่าข้างในของเขาล้วนมีความเจ็บปวดจากอดีตและมีความอ่อนแอด้วยกันแทบทั้งสิ้น ซึ่งทุกตัวละครที่มีอากัปกริยาออกมา ทั้งที่มีเหตุผลในขณะนั้น และไม่มีเหตุผลในขณะนั้น อันที่จริงเข้าอาจจะมีอดีตที่เราอาจจะต้องติดตามชมในตอนต่อๆ ไปด้วยเช่นกัน แล้วสิ่งที่คนดูอาจจะรู้สึกน่ารำคาญ จริงๆ แล้วเขาอาจจะมีเหตุผลก็เป็นได้

ที่สำคัญเลยก็คือการที่พีรณัฐมีเพื่อนที่ช่วยชี้แนะแนวทางที่ดี และบางครั้งการกระทำของเราก็อาจจะส่งผลเสียกับคนอื่นก็ได้ เราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองครอบจักรวาลเหมือนที่พีรณัฐเป็นอยู่ แต่เราควรเข้าอกเข้าใจคนรอบตัวบ้างก็ดีเหมือนกัน และเช่นกัน การมีเพื่อนที่ดีเป็นลาภอันประเสริฐ เพราะเพื่อนที่ดีคือเพื่อนที่ชี้ทางทำให้เราเข้าใจและปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น รวมถึงเราก็ควรใส่ใจเพื่อนบ้าง นี่คืออีกสิ่งที่สมควรทำ