fbpx

**บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ The Modernist เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2565**


ชีวิตคนคนหนึ่งต้องรับบทเป็นอะไรบ้าง

ถ้าถามผม ตอนนี้คงรับบทเป็นพนักงานออฟฟิศ ทำคอนเทนต์เสิร์ฟผู้อ่านในบ้าน Modernist ถ้ากลับต่างจังหวัดก็น่าจะเป็นลูกของพ่อแม่ หรือบทบาทอื่นๆ คงจะหนีจากสิ่งพื้นฐานเหล่านี้ได้ไม่เท่าไหร่

แล้วถ้าหากเราอยากให้คุณลองนึกถึงคนคนหนึ่งที่รับบทบาทใหม่ได้ทุกวันตลอดทั้งปี วันดีคืนดีก็แต่งตัวเป็นเจ้าของร้านเสริมสวย ติดขนตาหนาเตอะรุ่นกันสาดได้เพื่อมาบอกคุณว่าช่วงนี้ฝนจะตกหลายพื้นที่ หรือแต่งเป็นมู่หลาน พายุโซนร้อนที่หอบพายุฝนลมแรงมาสู้ศึกจากฟากฝั่งทะเลจีนใต้ เพื่อมาปล่อยพายุฝนและลมแรงที่เวียดนามตอนบน

บทบาทการแสดงเหนือจินตนาการที่ผนวกเข้ากับสาระจากการพยากรณ์อากาศที่ผู้คนสมควรรู้วันต่อวัน ถูกนำเสนอผ่านทีมงาน และผู้ประกาศข่าวประจำรายการฝนฟ้าอากาศ อย่างปุ้ม-เปรมสุดา สันติวัฒนา ผู้สวมทุกบทบาท ผ่านลูกบ้าในการทำงานรายการนี้มากว่า 10 ปี

ซึ่งยังรวมถึงการทำงานในฐานะคนเบื้องหน้าของช่อง 7HD ที่ได้รับบทบาทจริงๆ อีกหลายบทบาท ทั้งผู้ประกาศข่าวทั่วไป พิธีกรรายการเกมโชว์ ผู้ประกาศข่าวบันเทิง นักแสดงรับเชิญในละครโทรทัศน์ หรือแม้แต่นักแสดงรับเชิญบนซีรีส์ Netflix ที่ยังไม่ได้ออกอากาศ และสปอยล์ไม่ได้ว่าคือเรื่องอะไร (รอดูกันเอาเอง)

เธอสวมบทบาทในชีวิตจริง และบทบาทในชีวิตการทำงาน ได้อย่างครบเครื่อง แม้ว่าเมื่อ 10 กว่าปีก่อนในรายการฝนฟ้าอากาศนี้ เธอไม่รู้สึกสนใจมันเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำเธอยังไม่ชอบบทบาทนี้ที่ได้รับเอาเสียเลย

วันนี้ผมเดินทางมาพูดคุยกับเธอ ผู้ประกาศข่าวที่ประกาศข่าวได้โลดโผนโจนทะยานที่สุดคนหนึ่งบนจอทีวี เพื่อให้เธอเล่าเรื่องราวการทำงานที่เธอไม่ชอบมัน แต่เธอกลับทำได้ดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ให้คุณได้รู้จักเธอกัน

เปรมสุดา = หญิงสาวผู้สบายใจ

วัยเด็กของปุ้ม-เปรมสุดา เป็นยังไง

“พี่เติบโตมาในครอบครัวใหญ่ มีพี่น้อง 6 คน พี่เป็นคนที่ 4 มีพี่สาว 3 คน น้องสาว 1 คน แล้วก็น้องชายคนสุดท้อง 1 คน พี่เป็นลูกสาวที่ซนที่สุดในบ้าน โตมากับไม้เรียว ชอบปีนต้นไม้ ต้นมะม่วง ต้นมะยม ปั่นจักรยานกลับบ้านช้า กลับมาก็โดนตี โตมาแบบสนุกสนานอย่างนั้น พ่อแม่ไม่ถึงกับตามใจ เข้มงวดบ้างแต่ไม่มาก ขนาดมีลูกสาวเยอะนะ แต่เขาก็ยังให้เราได้ใช้ชีวิต พี่รู้สึกว่าพี่ได้ความอิสระอยู่ พอพี่น้องเยอะ ก็จะได้พี่ๆ น้องๆ นี่แหละคอยเตือนเรา เราเติบโตมาแบบมีคนคอยดูแล ให้คำแนะนำต่างๆ รวมถึงถ้ามีเรื่องที่เราอยากรู้อยากลอง พี่ๆ ก็เป็นคนพาไปลอง ขณะเดียวกันถ้าไปในทางที่ไม่ดีแม่ก็ตี พากันไปในทางที่ผิดพี่ก็ด่า มันผสมกัน”

มีวีรกรรมเด็ดๆ ของเด็กหญิงเปรมสุดา ที่น่าเล่าให้ฟังมั้ย

“มันต้องเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีล่ะ (พูดกลั้วหัวเราะ) เรื่องที่ดีจำไม่ได้อะ จำได้แต่เรื่องไม่ดี แบบโดนเพื่อนแกล้ง แล้วเราไม่ยอมคน ใครสู้มาเราสู้กลับ ช่วงอนุบาลเวลามีเพื่อนผู้ชายมาเปิดกระโปรงเรา เราก็จะโกรธเพื่อน เราก็แบบเหลาดินสอคมๆ แล้วเดินไปปักหน้าเพื่อน เฉี่ยวตาเพื่อนไปนิดเดียว ตอนเย็นแม่เพื่อนก็มาด่าแม่พี่หน้าบ้าน

พอโตมาหน่อยประมาณ ม.3 พี่ของเราอยู่ ม.4 ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชอบวงโมเดิร์นด็อก ตอนนั้น Bakery Music คือมา ตอนนั้นพี่สาวคนโตเรียนอยู่ที่เอแบค เขามีงานคอนเสิร์ต พี่สาวที่อยู่ ม.4 ขับรถไปกับเรา 2 คน ที่เอแบคเพื่อไปดูคอนเสิร์ตนี้ ใบขับขี่ไม่มีอะไรไม่มี ไปดูโมเดิร์นด็อก ไปดูโจอี้บอย ไปดูคริสติน (คริสติน โนเวลล์ – อดีตศิลปินสังกัด DOJO CITY) ไปดูแบบวู้ว สนุกสนานมาก

คอนเสิร์ตจบปุ๊บ ยังไม่ยอมกลับบ้าน ไปสีลมซอย 4 ต่อ ไปโรม (โรม คลับ) อะไรแบบนี้ แล้วแก๊งเพื่อนของพี่สาวเขาเรียนอัสสัมชัญไง กลายเป็นว่าไปทะเลาะกัน ไปตีกัน แล้วพอดีว่าวันนั้นพ่อแม่พี่เขาไปดูไร่ที่ต่างจังหวัดพอดี ไปเที่ยวเสร็จก็ตี 4 แล้วมั้ง บ้านของเรามันอยู่ลึกมาก ท้ายซอยเลย ขากลับบ้านขับกลับไปได้ครึ่งซอย ที่เหลือเข็นเอา กลัวคนได้ยิน กลัวเพื่อนบ้านจะรู้ เด็ก ม.3 ม.4 เข็นรถมอเตอร์ไซค์กันอยู่สองคน

สรุปสุดท้ายยังไงพ่อแม่ก็คือพ่อแม่ พี่สาวอีกคนก็ไปบอกว่า “เนี่ย ปุ้มกับปุ๊กมันไม่กลับบ้านนะม้า ไม่รู้มันหนีไปไหนเนี่ย” รวมถึงเช้ามืดวันนั้นเข็นถึงบ้านเพื่อนบ้านก็ยืนต้อนรับ “อ่าว กลับมาแล้วเหรอ” พี่ก็ เอ้า แผนเสียแล้วว่ะ แผนที่กูวางกันมาอย่างดี พี่ว่าอันนี้จำได้ฝังใจเลย

จนมาช่วงมหาวิทยาลัย พี่เรียนที่เกษตรศาสตร์ กำแพงแสน นครปฐม ที่คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ คณะเดียวกับแอนนา เสือ เลยนะคะ (แอนนา เสืองามเอี่ยม มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ประจำปี 2565) แอนนาเขารุ่นไหนไม่รู้ แต่พี่รุ่น 3 คือบุกเบิกมาก พี่ต้องไปเรียนอยู่ที่นู่นเลย 4 ปี พี่ได้โควต้าเข้าไปเรียน แต่บอกป๊าแค่ว่าสอบติดเกษตรฯ ป๊าก็นึกว่าเกษตรฯ บางเขน

จนวันที่มอบตัวบอก “ป๊า ไป ! ไปนครปฐม”

“เฮ้ย ไปไหนนะ” “นครปฐม”

“อะไร นี่มอบตัวมหา’ลัย” “ใช่, ไม่ใช่บางเขนป๊า ที่กำแพงแสน” คือไม่กล้าบอกพ่อ กลัวพ่อไม่ให้ไป แล้วก็ไม่ได้เก่งขนาดจะไปสอบเอ็นฯ สู้กับเขาได้ไง พ่อก็อะไป เลยได้ไปอยู่ที่นั่น

โห่ กลายเป็นว่าช่วงชีวิตที่ไปอยู่มหาวิทยาลัย 4 ปีนี่คือสนุกมาก พี่ว่าชีวิตมหาวิทยาลัยใครๆ ก็สนุกเนอะ แล้วยิ่งได้อยู่หอด้วยยิ่งสุดเหวี่ยงเข้าไปใหญ่เลย ได้ไปเรียน ขับมอเตอร์ไซค์กับเพื่อนๆ แฮปปี้ วันหยุดก็โบกรถหน้ามหาวิทยาลัยไปเที่ยวจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ บางศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ก็กลับบ้านบ้าง พี่ว่ามันเป็นช่วงชีวิตที่ดี ปี 1 ปี 2 ปี 3 นี่แม่งเละเทะเลย กินเหล้าเมาอ้วกเป็นปกติ เป็นช่วงเวลาที่พี่ไม่ได้เสียใจกับชีวิตเลย เรามีความสุขกับช่วงเวลาเหล่านั้น เพราะพอจบจากมหาวิทยาลัยชีวิตก็เริ่มเครียดล่ะ มันไม่ได้สนุกแบบนั้น”

ตอนเด็กฝันอยากเป็นอะไร

“ตอนเด็กเลยนะ มีแค่สองอาชีพที่อยู่ในใจ ก่อนหน้านี้ตอนประถมเคยฝันอยากเป็นครู ตอนนั้นเห็นครูคนหนึ่งเขาสวย ใส่รองเท้าส้นสูง แบบดูดี สวยจัง แต่โคตรดุเลย ตีกูจังเลยอะ ถือไม้เรียวอันหนึ่งอะไรแบบเนี่ย ทั้งชื่นชมและแอบนึกอะไรซาดิสม์ๆ ด้วย แบบ “หืม ถ้าเป็นครูนะ จะได้ตีเด็กบ้าง” ตอนนั้นมันก็เป็นความคิดเด็กๆ อะนะ

พอโตมาเรื่อยๆ คนนั้นคนนี้อยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่ เราก็แบบไม่ค่อยอยากเป็นอะไรเลย ยังคิดไม่ออก แต่เรารู้สึกว่าอีกมุมหนึ่งบางทีคำพูดที่เราได้รับมา การเปรียบเทียบเรื่องการเรียนพวก “เรียนไม่เก่งเลย เรียนไม่ได้เลย” เลยทำให้เราคิดว่า งั้นเราเป็นอะไรก็ได้ที่คนไม่ต้องว่าเรา อยากเป็นอะไรที่คนมองเราแล้วบอกว่า “เฮ้ย มึงเก่งว่ะ” “แกฉลาด” อยากเป็นอะไร Look ของเราดูดี อาชีพผู้ประกาศข่าวเลยเข้ามาในหัวพี่ เราเห็นทีวีแบบ เออเฮ้ย เห็นมาดคนที่นั่งอ่านข่าว เห็นพี่ติ๋ว-ศันสนีย์ (ติ๋ว-ศันสนีย์ นาคพงศ์ อดีตผู้ประกาศข่าวช่อง 7HD) มันทำให้เราเห็นว่าเขาเก่ง “เฮ้ย เขาทำอาชีพอะไรเหรอ ทำไมเขาเก่งจัง” “อ๋อ เขาอ่านข่าวเหรอ เขาคือผู้ประกาศข่าวนะ เขาดู Smart” เรามีความอยาก Smart แบบ Working Woman อะไรแบบนั้น แล้วอาชีพนี้มันดูเป็นไปได้กับชีวิตจริง มันไม่เหมือนกับที่อยากเป็นครู อยากตีเด็ก มันโตขึ้นแล้วก็มีความฝันใหม่เข้ามา”

ตอนนั้นนอกจากดูข่าวในทีวีแล้ว ดูอะไรอีกบ้างมั้ย

“ตอนเช้าชอบดูเจ้าขุนทอง แล้วก็ช่อง 9 การ์ตูน ดูพวกเซนต์เซย่า กลับมาตอนเย็นกินข้าวแล้วก็ดูการ์ตูนหลังข่าวของช่อง 7 ปั่นจักรยานไปเช่าวิดีโอมาดูด้วยกันอะไรแบบนี้ ละครก็ดูบ้างตามพี่สาว พี่เขาดูอะไรกันเราก็ดูด้วย ตอนนั้นเหมือนจะได้ดูสุสานคนเป็นอยู่บ้าง แต่มักจะโดนไล่ขึ้นไปนอน ต้องมาแอบดูตรงช่องบันได แล้วก็กลัว”

อาชีพแรกๆ ในชีวิตคืออะไร

“พอเรียนปี 4 อาชีพแรกที่ทำพี่เป็น MC นะ สมัยนั้นพริตตี้ MC ก็ไม่ใช่แบบยุคนี้นะคะ ไม่ได้วาบหวิว (ก้มมองตัวเอง) อย่างนี้จะเอาอะไรไปโชว์ เขาคงไม่เอา แต่ตอนนั้นเราเป็น MC เพราะช่วงนั้นไปประกวดเรื่องการพูด Public Speaking ภาษาอังกฤษ ช่วงสมัย 10 ปีก่อนที่มีการใช้พริตตี้ MC เยอะๆ เราเลยได้ไปเป็น ไปทำตามงานต่างๆ บ้าง

จบปี 4 ปุ๊บก็ไปสมัครเป็นแอร์โฮสเตสแต่ไม่ได้ เลยไปทำงานเป็นงานประจำครั้งแรก ได้เงินเดือนจริงๆ เป็นเลขานุการ นายเป็นคนสิงคโปร์ ทำอยู่ 6 เดือน แล้วเราก็เห็นว่าทางบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทยเขาเปิดรับสมัครพนักงาน ตอนนั้นเขาใช้ชื่อว่าโตโยต้า พริตตี้ พี่ก็ไปสมัคร สัญญา 1 ปี งานคือการพรีเซนต์ พูด ไปอบรมเรื่องโรงงาน ขั้นตอนการประกอบรถยนต์ต่างๆ

พี่ว่ามันเหมือนตอนมาทำที่ช่อง 7 ช่วงแรกๆ เราประกวดเข้ามา แล้วได้รับการเทรนในองค์กร แล้วก็ได้ทำงาน พอจบสัญญา 1 ปีพี่ก็สมัครเป็นพนักงานประจำต่อที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ทำงานกับโตโยต้ายาวๆ เลย 7 ปี ทำงานแถลงข่าว จัดอีเวนต์ Test drive รถยนต์ต่างๆ จนขยับมาอยู่ฝ่าย CSR เพราะเราได้อบรมเรื่องโรงงาน หรือการประกอบรถมาแล้ว และมีทักษะการพูด การพรีเซนต์ติดตัว โตโยต้าเขาเลยอยากได้คนพาเยี่ยมชมโรงงาน เราก็พาทัวร์ บรรยายภาษาไทย ภาษาอังกฤษอะไรแบบนี้ ตั้งแต่ระดับชาวบ้านไปยันรัฐมนตรี เราทำหน้าที่แบบนั้นทั้งหมด”

เมื่อเปรมสุดามาประกาศข่าว

แล้วมาเข้าร่วมโครงการสรรหาผู้ประกาศข่าวหน้าใหม่ของ ช่อง 7 HDได้ยังไง

“พอทำงานมาเรื่อยๆ อายุใกล้ 30 ปี ประมาณ 29 กว่าๆ ล่ะ เห็นโครงการสรรหาผู้ประกาศข่าวหน้าใหม่พอดี รับตั้งแต่อายุเท่าไหร่ไม่รู้จนถึง 30 ปี พี่แบบ “เฮ้ย ต้องกูแล้วแหละ” (ขอโทษที่ใช้กูนะคะ – หัวเราะกันทั้งวงสัมภาษณ์) เอาใหม่ “เฮ้ย ต้องเราแล้วแหละ” 30, ไม่สมัครตอนนี้จะสมัครตอนไหน พี่เห็นช่วงไตรมาสแรกๆ ที่เขาเปิดรับ พี่เลยรีบมาสมัคร สมัครปั๊บก็ผ่านเข้ารอบ เลยได้มาทำงานที่ช่อง 7 ก็เลยไปลาออกกับนายที่โตโยต้า

พี่ว่าการได้ทำงานที่โตโยต้ามันสั่งสมเรา ว่าทำไมเราถึงกล้าพูด พูดต่อหน้าคนอื่นๆ ได้ พอมาทำงานหน้าจอทีวีมันเจอหลายๆ เหตุการณ์ ที่ต้องใช้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วย เวลารายงานสด เจอคนเยอะแยะ และกว่าจะมาถึงตอนนี้ที่ช่อง 7 ได้ก็ไม่ง่ายเลยนะคะ”

เล่าประสบการณ์ในโครงการสรรหาผู้ประกาศข่าวหน้าใหม่ ช่อง 7HD ในปี 2552 ให้ฟังหน่อย เขาทำอะไรกันบ้าง

“ตอนนั้นพี่ปุ้มมาสมัครกับเพื่อนที่ทำโตโยต้า พริตตี้ด้วยกัน 4 คนที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว คนเยอะมากเกือบ 3,000 คน เราไม่รู้หรอกว่าเขารับกี่คน แต่ละคนดูดีหมดเลย ตอนนั้นใครใส่สูท แต่งหน้า ทำผม สำหรับเรามันดูดีล่ะ ดูฉลาด “โห กูมาทำอะไรวะเนี่ย ต้องเอาหน่อยแล้วว่ะ” บรรยากาศตอนนั้นรู้สึกว่าเกร็ง ขนาดเราไม่ใช่เด็กจบใหม่ ผ่านอะไรมาจนอายุ 30 แล้วนะ เส้นทางชีวิตเราก็พอมีอะไรอยู่ในตัวแล้ว แต่เราก็ยังกังวลมาก เกร็งมาก พอเห็นแต่ละคนที่ดูดีขนาดนั้น เราไม่รู้ว่าจะสู้ได้หรือเปล่า แต่เราก็มองว่ามันเป็นโค้งสุดท้ายแล้ว นี่คือสิ่งที่เราอยากเป็น และอยากทำ เราต้องลอง

จากวันนั้นคัดเลือกมา 1,000 กว่าคน แล้วก็คัดเหลือประมาณ 100 คน แล้วก็มาที่ช่อง 7HD นี่แหละ เขามีกระดาษ A4 ให้ 1 แผ่น ในนั้นมีข่าวให้อ่าน 3 เรื่อง การคัดเลือกในวันนั้นทุกคนจะเข้าไปในห้องประชุมที่มีผู้ใหญ่หลายๆ คนนั่งรอบโต๊ะเป็นตัว U เราเข้าไปยืนตรงกลาง แล้วแบบ “อึ๊ย เสียวโว้ย” แล้วเราก็ต้องยืนอ่านให้ได้ พี่จำได้กระดาษในมือแบบสั่นกึกๆ ผู้ใหญ่ที่มานั่งแต่ละท่านก็เป็น บ.ก. หรืออย่างคุณแดง-สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ก็ยังอยู่

หลังจากนั้นเขาก็คัดอีกเหลือประมาณ 22 คน แล้วต้องมาอบรมที่ช่อง 7HD ทุกวันเป็นเวลาเดือนครึ่ง ตอนนั้นพี่ก็ยังไม่ได้ลาออกจากโตโยต้า พี่ขับรถจากสมุทรปราการมาหมอชิตทุกวันๆ มาเจอเพื่อนๆ แต่งหน้าทำผมยังไง พี่ๆ เขาสอนเรื่องการเขียนข่าว หรือการรายงานสดว่าทำยังไง มันสนุก แล้วก็มีวันทดสอบการอ่าน การสัมภาษณ์คน การรายงานข่าวนอกสถานที่ ทางช่องก็จะให้โจทย์อะไรต่างๆ มาให้ แล้วก็สุดท้ายประกาศผลคนเข้ารอบ Final ผ่านหน้าเว็บไซต์ ตอนนั้นคิดในใจแล้ววันไม่ได้แน่ คิดว่ายังไงก็ไม่ได้

เช้าวันประกาศผล เรายอมไปทำงานสายเลย บอกนายว่าวันนี้ช่อง 7HD จะประกาศผลตอน 9 โมง บอกลาป่วยค่ะ ลาป่วย (หัวเราะ) ไล่ดูคนที่หนึ่ง กฤษดา (กฤษ-กฤษดา นวลมี), ช่อฟ้า (ปูน-ช่อฟ้า เหล่าอารยะ), จิรนันท์ (จอย-จีรนันท์ เขตพงศ์), ชัยอนันต์ (ต้นกล้า-ชัยอนันต์ ปันชู) มาหมดเลยชื่อเพื่อนๆ เลื่อนมาเบอร์ 10 เปรมสุดา (ลากเสียงยาว) เฮ้ย คนสุดท้ายพอดี โห ดีใจมากเลย นี่เรื่องจริงหรือเนี่ย หลังจากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการ ลาออกทางนั้น แล้วก็มาอยู่ทางนี้”

เท่าที่ทราบมา คุณแดง-สุรางค์ จะขึ้นชื่อเรื่องความโหดของการอ่านอักขระให้ถูกต้องมาก ทุกคนจะต้องกับเจอความทรหดของคุณแดงหมดเลย พี่ปุ้มเจอคุณแดงแล้วเป็นยังไงบ้าง

“ถ้าเจอคุณแดงจริงๆ ก็เจอวันนั้นแหละ รอบคัดเลือกที่อ่านข่าวต่อหน้าผู้ใหญ่ คุณแดงท่านก็มีชื่อเสียงที่สุดแล้วทุกๆ ด้านในช่วงนั้น เราก็รู้สึกเกร็งแค่วันนั้น แบบ “คุณแดง สุรางค์ เปรมปรีดิ์ คุณแดง สุรางค์ เปรมปรีดิ์” (น้ำเสียงพึมพัมตื่นเต้นอยู่ในใจ) สำหรับตัวพี่ปุ้มเองวันนั้นไม่ได้โดนอะไร อย่างพี่นิปปอน (นิปปอน-นวนันท์ บำรุงพฤกษ์) อาจจะเจอบ้าง พอมาช่วงนั้นคุณแดงก็ไปบริหารส่วนอื่นแล้ว ส่วนของนักแสดง ส่วนของข่าวคุณแดงก็ไม่ได้ดูอะไรเยอะ น่าจะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านกับผู้บริหารท่านอื่นแทน หลังๆ มาได้เจอก็สวัสดีทักทาย ท่านน่ารักมากนะคะ”

หลังจากได้เข้ามาเป็นผู้ประกาศข่าวในสังกัดช่อง 7HD แล้วทำอะไรต่อบ้าง

“พอเข้ามา 10 คน เขาก็ถามว่าแต่ละคนสนใจข่าวด้านไหนบ้าง เราแบบเด็กศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์นี่ เราอินเตอร์ เราเอก Eng นี่ เราทำองค์กรแบบโตโยต้านะ World class นะ

“สนใจข่าวต่างประเทศค่ะ” พูดอย่างมั่นใจ

ซึ่ง เดี๋ยว ข่าวต่างประเทศช่อง 7HD นะ ใจเย็นก่อนนิดนึง แต่ตอนนั้นเราอยากทำเว่ย

เลยได้เดบิวต์รายการแรกช่วงข่าวต่างประเทศ รายการเช้าข่าว 7 สี ตอนตี 5 เป็นพาร์ตสั้นๆ 5-10 นาที ตอนนั้นผู้ประกาศข่าวต่างประเทศเก่งๆ เลยคือพี่นิปปอน เก่งมากเรื่องข่าวต่างประเทศ พี่เขาทำได้หลากหลาย

พอทำไปได้ไม่นาน เขาจะให้ผู้ประกาศข่าวรุ่นใหม่ได้อ่านข่าวเด็ดสั้นๆ ได้ลงพื้นที่ ทำสกู๊ป เกาะติดกับพี่ๆ ที่ลงสนามข่าว ได้ลองฝึกงานทุกโต๊ะข่าว ได้ฝึกหลายๆ อย่างไปเรื่อยๆ จนมาถึงตอนที่ได้ทำฝนฟ้าอากาศ ก่อนที่จะมาทำห้องข่าว 7 สี

ตอนที่อ่านข่าวต่างประเทศ เราก็ไปขอโต๊ะข่าวต่างประเทศแบบ “พี่มีอะไรให้ปุ้มช่วยแปลมั้ย” เราเห็นพี่หว่องเก่งจัง (หว่อง-พิสิทธิ์ กิรติการกุล) อ่านข่าวแบบไม่ต้องเตรียมตัว ใจเรายังสนใจแบบนั้นอยู่”

พอได้มานั่งโต๊ะอ่านข่าวทั่วไปบ้าง ภาพความฝันของการนั่งโต๊ะผู้ประกาศข่าวกับความจริงเป็นยังไง

“มันต่างกัน พี่ก็ไม่เคยวาดฝันว่าเราต้องมายืนใส่ชุดอะไรแบบนี้ บางทีพูดแล้วยังตลกอยู่เลย เราอยากนั่งอ่านข่าวฉากหลังเป็นลูกโลกหมุนๆ นะ ฉันอยากอ่านอย่างนั้น แต่ไม่มีโอกาสแบบนั้น ถามว่าใจหนึ่งเสียดายมั้ยที่ไม่มีโอกาสอย่างที่คิด ใจหนึ่งก็มีแหละ แต่อีกมุมหนึ่งเราก็ยอมรับว่าการที่เราได้ทำฝนฟ้าอากาศมันก็ทำให้เราได้ลองงานอื่นๆ เปิดกว้างมากขึ้นว่าพอคุณได้มาทำในสิ่งที่คุณอยากเป็นจริงๆ คุณมือถึงพอหรือเปล่า คุณเก่งพอ ฉายแววพอที่จะนั่งอ่านข่าวสะกดคนดูได้จริงๆ หรือ พี่ว่าเพื่อนๆ คนอื่น ก็อาจจะเก่งในพื้นที่นี้มากกว่าพี่ เราก็ได้ไปลองทำในพื้นที่อื่นๆ ซึ่ง ณ ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกเสียดายแบบนั้นแล้ว”

โอกาสของเปรมสุดาในฝนฟ้าอากาศ

แล้วทำไมถึงได้เป็นนักข่าวพยากรณ์อากาศในฝนฟ้าอากาศ

“มีวันหนึ่งพี่ธนิดา (ธนิดา กิจบำรุง) บ.ก.โต๊ะสังคมเลือกผู้ประกาศข่าวเข้าไปคุยทีละคนในห้อง 3-4 คน “เนี่ยปุ้ม เดี๋ยวจะมีคอลัมน์ใหม่ พยากรณ์อากาศนะ พี่อยากให้ปุ้มลอง ปุ้มสนใจมั้ย” ตอบเลยว่า “ไม่สนใจค่ะ” “เอ้า ทำไมล่ะ มันใหม่นะ” ในหัวตีกันมากเลย “โห่แม่ง เรา 30 แล้ว มีเพื่อนๆ อีกตั้ง 10 คน ให้เราทำพยากรณ์อากาศ ดองเราแน่ๆ” นึกออกมั้ย คือแบบไม่มีใครเข้าตา คนนี้มันแก่แล้วเว้ย ไปไกลๆ เลย ไปอยู่พยากรณ์อากาศเลย

ซึ่งแบบ “พี่เดี๋ยวก่อนนะ ปุ้มคิดว่าเพื่อนคนอื่นถนัดกว่า จิรนันท์เลยค่ะ” คนนู่นคนนี้เลย โบ้ยชื่อเพื่อนไปเลย นิสัยดีมาก (หัวเราะ) รักเพื่อนสุดๆ เราแบบไม่เอา ไม่อยากทำ ข่าวพยากรณ์มันแบบมีแต่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคใต้ (ทำเสียงเลียนแบบ) อยู่แค่เนี้ย “พี่ ปุ้มไม่สนใจ” เขาบอก “ลองดูก่อน มันไม่เหมือนเดิมนะ เราจะทำสตูฯ ใหม่ เป็น Visual Studio มีกรีนสกรีน มีเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาผสม ผู้ประกาศเนี่ยยืนพรีเซนต์ เห็นเต็มตัวอะไรแบบนี้เลยนะ ไม่ใช่มายืนครึ่งตัวเหมือนเดิม แล้วช่อง 7HD ไม่เคยมีผู้ประกาศพยากรณ์อากาศนะ ตอนนี้เรามีแค่กราฟิกขึ้น เป็น Slide show เท่านั้น เดี๋ยวลองไปอบรมกันกับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เลือกมา” ก็เลยได้ไปอบรมด้วยความกระอักกระอ่วนใจว่าแบบ ก็ได้ มันไม่มีทางเลือก ผู้ใหญ่ Assign ให้เรา เราก็ไป”

ลองสวมบทบาทเป็นเปรมสุดาในตอนนั้นหน่อยว่า ถ้าให้นึกถึงข้อดีของข่าวพยากรณ์อากาศตอนนั้นคืออะไร

“ตอนนั้นที่ไม่อยากทำอะนะ ไม่มีเลย เป็น 0 ข่าวพยากรณ์อากาศสมัยช่วง 15 ปีที่แล้ว พี่มองว่ามันไม่น่าสนใจเลย ไปวิ่งข่าวเศรษฐกิจ สังคม อาชญากรรมยังน่าสนใจมากกว่า พี่คิดขนาดนั้นเลยนะ

สมมติถ้ากลับกันให้สวมบทเปรมสุดาในตอนนี้ มองกลับไปตอนนั้นคงเป็นแบบ (ทำท่าและเสียงเลียนแบบการแสดง) “เฮอะ อะไรนะคะ จะให้ชั้นมาทำข่าวพยากรณ์อากาศ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นมันไม่ได้มีอะไรเลย อากาศตอนนั้นมันไม่ได้เปลี่ยนแปลง มันไม่ได้หวือหวาน่าตื่นเต้นเหมือนตอนนี้ คุณจะพูดอะไรได้คะในระยะเวลาแค่ 3 นาที 4 นาที ภาคเหนือมีฝนกี่เปอร์เซ็นต์ ภาคกลางมีฝนกี่เปอร์เซ็นต์ แค่นี้เหรอคะ ชั้นคิดว่าชั้นอยากทำอย่างอื่นมากกว่า” แต่สุดท้ายพี่ก็ไปอบรม”

ช่วงอบรมตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง

“ช่วงนั้นไปอบรมที่กรมอุตุนิยมวิทยา รู้สึกว่า หูว ตึกใหญ่นะ อยู่บางนา ผ่านข้างหน้าประจำไง บ้านอยู่สมุทรปราการ พอเข้ามาแล้วเป็นแบบ โห พี่แต่ละคนเขาจริงจัง เขาดูจะอะไรกันวะเฮ้ย เยอะแยะไปหมดเลย จอแผนที่ จอเรดาร์ จออะไรยังไง ไปดูห้องประชุม หูว พี่ต้องประชุมอย่างนี้กันทุกเช้าเลยเหรอ 10 โมงเช้าแล้วก็บ่าย อย่างนี้ทุกวันเลยเหรอ แผนที่อากาศมากางเป็นแบบ โห มันคือความรู้ มันคือความจริงจัง มันคือความ Serious ทุกคนคือคนทำงาน

พี่ก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย เขาทำงานนะเว่ย ไอที่เราเคยคิดว่าพยากรณ์อากาศมันไม่แม่น มันไม่ตรง มันน่าเบื่อ เหมือนเราไปดูถูกงานของเขา แล้วตอนนี้เรามาดู มาสัมผัสเอง เขาเป็นผู้ใหญ่กันแล้วนะ ไม่ใช่เล่นๆ นะ เขาจบปริญญามา จบต่างประเทศมา เขามาคุย มาวิเคราะห์ Base on ข้อมูลมา พี่เลยรู้สึกต่อว่า เออว่ะ มันจริงจัง และมันก็เปลี่ยนทัศนคติของพี่ไปเรื่อยๆ

แล้วเขาบอกว่าหลักใหญ่ใจความของการพยากรณ์อากาศเลย จุดมุ่งหมายคือการรายงานให้คนรู้สภาพอากาศ เพื่อลดความสูญเสียให้มากที่สุด พี่ก็เลย เออว่ะ มันเป็นเรื่องสำคัญว่ะ แต่ตลอดชีวิต 30 ปี เราไม่เคยมองมันเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เคยสนใจมัน หรือมีเรื่องนี้อยู่ในหัวเราเลย เรียกว่าหลังจากไปอบรมครั้งนั้นมันเปลี่ยนความคิดพี่ไปเลย”

หลังจากได้เรียนรู้ และทำความเข้าใจการพยากรณ์อากาศ เสน่ห์ของสิ่งนี้คืออะไร

“ถ้าตอนแรกๆ ไม่ได้คิดถึงเสน่ห์ของมันเลย มันคือการฝ่าฟันมากกว่าสำหรับพี่ ตอนแรกโคตรไม่อยากทำ พอได้อบรมก็เริ่มโอเคล่ะ พอเห็นเทคโนโลยีต่างๆ เราเริ่มรู้สึกตื่นเต้นกับมันแล้ว ทีมงานออกแบบนู่นนั่นนี่ เราก็เริ่มพยายามทำแต่ละวันให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้”

พายุที่ถาโถมเปรมสุดา

ความคิดเห็นของคนดูต่อรูปแบบรายการข่าวพยากรณ์อากาศรูปแบบใหม่นี้เป็นยังไงบ้าง

“แค่ออกอากาศวันแรกก็มี Feedback แล้ว ว่าทำไมผู้ประกาศถึงรายงานแบบนี้ นี่คือช่วงข่าวในพระราชสำนักนะ คือฝนฟ้าอากาศมันไปอยู่ในก้อนข่าวภาคค่ำช่วงที่ 2 พอดี ซึ่งข่าวในรายการเดียวกันมันจะมีความ Serious แต่ทำไมผู้ประกาศเป็นแบบนี้ เทปแรกพี่ถือร่มออกมา วางร่ม แล้วก็สวัสดีผู้ชม ช่วงกรกฎาคมช่วงนั้นมีฝนพอดี แล้วเห็นเราทั้งตัว

เอาจริงๆ พี่รู้สึกว่าแม้แต่กอง บ.ก. ในช่อง 7HD เองก็พูดกันว่าเหมาะสมจริงๆ หรือ คนอื่นที่เป็นแฟนช่อง 7HD ประจำแบบเหนียวแน่นก็ถาโถมเข้ามาตลอดทั้งเดือน เพราะมันคือความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บนหน้าจอช่อง 7HD

พี่เพิ่งมารู้ข้อมูลตอนหลังว่า พี่ที่อยู่ข้อมูลศูนย์วิทยุเขาบอกว่าทุกวันที่ฝนฟ้าอากาศ ออนแอร์ โทรศัพท์ดัง “มาอ่านข่าวแบบนี้ได้ไงอะ ฮะ บอกเขาบ้างนะเปรมสุดาเนี่ย ทำไมมาทำแบบนี้ ไม่เหมาะสมเลย ไม่สุภาพเลย ไม่สำรวมเลย จะมาพูด จะมายิ้มแบบนี้ได้ยังไง” พี่เขาบอก “ปุ้มรู้มั้ยพี่รับโทรศัพท์ทุกวันเลย” ตอนนั้นไม่ได้มีแค่พี่ รายการนี้มีผู้ประกาศหลายคนมาทำวนกัน มีพี่ปุ้ม กับจอย (จอย-จีรนันท์ เขตพงศ์) น้องบี (บี-กมลาสน์ เอียดศรีชาย) ยังไม่มา

ในช่วง Timing นั้นพี่รู้สึกว่ามันหนัก จากทั้ง Feedback ที่เข้ามาหาตัวรายการ แล้วก็เข้ามาหาตัวพี่เอง อีเมลของช่อง [email protected] มันกระหน่ำเข้ามาเยอะมาก เป็นร้อยๆ เมล์เลย ต้องมานั่งลบทุกวัน ต้องมานั่งอ่านสิ่งที่เขาด่าเรา บางคนจดเป็นวันเลยนะ

“เรียน คุณเปรมสุดา – เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม คุณอ่านข่าว รับบทเป็นสิ่งนี้ ไม่เหมาะสมเลย วันที่ 8 คุณเป็นอันนี้ วันที่ 9 คุณเป็นอันนี้” คือไล่ด่าแบบนั้นเลย จดหมายที่ได้มาคือหนามาก ธุรการเอามาส่งให้ โทรศัพท์มาด่าก็มี “เหี้ย แม่ง มึงปัญญาอ่อนหรือเปล่า พ่อแม่ไม่สอนมึงมาเหรอมาอ่านข่าวอย่างงี้” บางทีมีไปรษณียบัตรเขียนด่าแน่น เต็มไปหมดทุกช่องทางการสื่อสาร หรือใน Pantip ด่าพี่ทุกวัน Monitor ทุกอย่าง อู้หู่ “เปรมสุดาบ้าหรือเปล่า” “อยากจะเลียนแบบคุณกาละแมร์ใช่มั้ย (แมร์-พัชรศรี เบญจมาศ)” “ทำไมไม่เอาคนดีๆ มาอ่าน” พี่แบบ ถามเราหน่อยมั้ย ตอนนั้นย้อนกลับไปไม่ได้อยากทำนะ ต้องมาโดนด่า ในหัวแม่งสับสนมาก ร้องไห้ เดินไปบอกพี่ธนิดา “พี่ หนูโดนด่าอีกแล้วอะ หนูไม่อยากทำแล้วอะ ทำไมเขาต้องมาด่าหนูอะ”

แล้วไม่พอ ตอนนั้นข่าวเด็ด 7 สี ที่เป็นข่าวต่างประเทศแบบทางการทั่วไป นั่งแบบ Smart พี่ก็โดนลดบทบาทไป เพื่อมาทำฝนฟ้าอากาศให้มันชัดๆ มันก็กลายเป็นว่าไม่ได้อยากทำ พอมาทำก็โดนด่า ภาพที่เราอยากจะเป็น อ่านข่าวเด็ดนิ่งๆ 5 นาที 10 นาที ก็ยังทำไม่ได้ ตอนนั้นทุกอย่างมันตีในหัว เขาบอกว่าอยากเอาภาพตรงนี้ให้มันชัด “ไม่เป็นไรปุ้ม ทำไป เราตั้งใจทำงานที่เป็นประโยชน์กับคนดู ทำไปก่อน ขอให้อดทน” พี่เดินไปร้องไห้กับเขา 3 รอบในช่วง 6 เดือนที่มันหนักๆ จะให้ไม่ได้ร้องไห้ได้ไง ทำงานแบบจิตตก แต่หน้าจอแม่งต้องยิ้มอะ เราก็เป็นเด็กใหม่ในช่อง ทำไม่ได้ สปิริตไม่พอเหรอ กระอักกระอ่วนมากๆ

แต่หลังๆ ก็เริ่มมีคนเห็นเรา เริ่มมีคนให้กำลังใจ เริ่มเป็นที่จับตา สื่อต่างๆ ติดต่อมาขอสัมภาษณ์ 2-3 ฉบับแรกก็สัมภาษณ์ตัวเรา หลังจากนั้นมีมาสัมภาษณ์ทีมงาน อยากรู้ว่าในฝั่งทีมงาน รายการนี้มันมาได้ยังไง พอมันเริ่มเป็นทีมงานแล้วเรารู้สึกว่า เออว่ะ พอมีสื่อมาสัมภาษณ์มันคือการเป็นที่จับตา ไม่ใช่แค่เรา ทีมงานเบื้องหลังก็ได้รับการจับตามองไปด้วย เพราะมันก็คือการทำงานของเขา พี่ๆ ที่ทำกราฟิก น้องๆ เสื้อผ้งเสื้อผ้า ใครจะมานั่งสัมภาษณ์เขา ตรงนี้ก็กลายเป็นอีกมุมหนึ่งที่ทำให้เราแฮปปี้ในฐานะคนหน้าจอ คนหน้าจอไม่สามารถทำงานได้ถ้าไม่มี Teamwork นะ พี่ๆ เขาสอนแต่แรกแล้วว่า “คุณทำงาน คุณต้องเคารพทีมงานนะ ทีมงานคือเบื้องหลังที่สำคัญนะ ส่วนคุณเนี่ยคือการนำเสนอ ดีไม่ดีถูกผิดมันก็อยู่ที่คุณด้วย คุณก็ต้องตั้งใจในการสื่อสาร” กราฟิกนี่เปลี่ยนทุกวัน เสื้อผ้าหน้าผมต้องเซตใหม่หมด ถ้าเราทำงานไม่ดีออกไปมันจะมีประโยชน์อะไร

คำชมพวกนี้ก็ไปมีผลใน Pantip บ้าง เวลามีคนด่า ก็มีคนแก้ต่างให้ “เฮ้ย แต่เขาเปลี่ยนกราฟิกทุกวันเลยนะ อันนี้ก็ยอมใจ กราฟิกสวยมากเลย” ตอนนั้นก็กลายเป็นการโปรโมต Virtual Studio ด้วยเนอะ เราก็มีแรงทำต่อ แฮปปี้ที่จะทำต่อ”

รับมือกับคอมเมนต์เชิงลบที่เข้ามาหาเรายังไง

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นมันเหมือน Social Bullying ตอนนี้เลย พี่รู้สึกว่ามันเยอะ แล้วก็หนัก ตอนแรกก็เป็นจุด Suffer ในชีวิต รับมือยากนะ การที่เราโดนใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จักมาด่าเราทุกวัน ในสิ่งที่คุณไม่รู้เลยว่าจริงๆ เราเป็นยังไง เราก็กล้ำกลืนแหละกับสิ่งที่เรากำลังทำ มันก็มีโมเมนต์ที่เราอยากด่าว่างี่เง่าปัญญาอ่อนแบบนั้นเหมือนกัน แต่เราทำไม่ได้ แล้วเราต้องมารับคำด่าแบบนี้ทุกวันๆ

พี่ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ คุย ปรึกษากับคนที่รับฟังเราได้ อย่างน้อยให้ได้ระบาย แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าตัดได้ ลดได้ก็ลด ตอนนั้นเราอ่านคอมเมนต์ทุกอัน แล้วเจ็บใจ โกรธ แค้น จนมีคนบอกว่าข้ามๆ มันไปบ้างก็ได้ ตอนนั้นเราอ่านเพราะเผื่อจะเห็นว่ามีใครมาชมเราบ้าง ซึ่งก็มี แต่เราก็ไปเจ็บอยู่กับคนที่ว่าเรา อีกอย่างคือถ้ามันมีสิ่งดีๆ ในชีวิตเข้ามา เราก็ลองหัดหันไปมองสิ่งอื่นบ้าง ย้ายโฟกัสไปในจุดที่ไม่บั่นทอนความรู้สึกเรา”

ในตอนนี้มันกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการพยากรณ์อากาศในประเทศเรา แต่ย้อนกลับไปฝนฟ้าอากาศมันถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม พี่ปุ้มว่ามันไม่เหมาะสมยังไงบ้าง

“พี่ว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่มันไม่เคยมีมาก่อนในตอนนั้น เหมือนเราเคยชินกับรูปแบบเดิมๆ สมัยก่อนข่าวพยากรณ์อากาศแบบขึ้น Chart มันก็โอเคนะ เราก็รับข้อมูลได้เพียงพอนี่ ความไม่เหมาะสมตรงนั้นพี่คิดว่ามันเป็นการที่คนยังไม่ค่อยเปิดรับอะไรใหม่ๆ ที่ฉีกไปเลย อาจจะยังไม่ชิน และไม่เคยเจออะไรแบบนี้ แล้วเราก็โดนตีความไปว่าไม่เหมาะสม ไม่ควรทำ พอย้อนคิดไปโดนด่าตอนนั้นก็ไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่นะ (เน้นเสียง)”

ในช่วงนั้นมันเป็นรายการรูปแบบใหม่ ทั้งผู้ประกาศข่าว ทีมงาน เรียนรู้อะไรร่วมกันจากการทำงานนี้

“พี่ว่าทีมงานทุกคนอินกับมัน ฝ่าฟันไปด้วยกัน บทบาทบางอย่าง เช่นตำรวจทหารอย่างนี้เขาตะเบ๊ะกันยังไง พี่ทีมงานบางคนที่เคยฝึกทหารมาก่อนก็สอนเรา กลิ้งแบบนี้นะ มือต้องแบบนี้นะ มากลิ้งให้ดูหน้าฉาก หรือบางวันเป็นลูกทุ่งอีสาน ทีมงานมาฝึกสำเนียงให้ เรื่องภาษาถิ่นทุกคนจะมาช่วยไกด์กัน ทุกคนต่างเรียนรู้ร่วมกันเพื่อให้งานมันออกมาสมบูรณ์ ออกมาสนุก ซึ่งมันไม่ใช่การอัดสต๊อกไว้ มันคือการทำวันต่อวัน ทุกคนมาสุมหัวทำงานกัน ใครรู้เรื่องแอคติ้งก็มาสอน ใครเชี่ยวชาญด้านไหนก็มาแนะนำในด้านนั้นๆ เพราะผู้ใหญ่เขามองว่าธีมของฝนฟ้าอากาศ มันคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกสาขาอาชีพ เราเลยสามารถสวมบทบาทเป็นได้ทุกคน เป็นได้ทุกอย่าง”

จากแต่ก่อนที่ Climage Change ยังไม่ได้รุนแรงขนาดนี้ แต่ในปัจจุบันทวีความรุนแรงขึ้น หลังบ้านของการทำงานพยากรณ์อากาศมันตึงเครียดขึ้นกว่าเดิมมั้ย

“ทำไมถามคำถามเคร่งเครียดแบบนี้อะ วิชาการมากเลย (หัวเราะ) Serious ค่ะ แต่ก่อนช่อง 7HD เวลาทำบทข่าวมัน Serious อยู่แล้วเนอะ ถ้าสมมติอากาศปกติเราก็รายงานไป ถ้าช่วงไหนมีพายุบ่อยเราก็รายงานพายุบ่อยขึ้น แต่ตอนนี้พอเป็นยุคที่ข้อมูลข่าวสารมันเยอะขึ้น มีทั้งข่าวปลอม ข่าวลือ ที่เยอะขึ้นไปอีก บางคนก็รับข้อมูลแบบนั้นมา เราที่เป็นสื่อตัวจริงก็ต้องเข้าไปกรองข้อมูลให้เขาอีกชั้นหนึ่ง ทีนี้กับงานที่เป็น Daily Routine แบบนี้ เวลามีสถานการณ์อะไรเข้ามา เราก็ต้องเช็คเพิ่ม ตรวจสอบเพิ่มให้มันรัดกุม การทำงานของเราอาจที่เคยโทรหากรมอุตุนิยมวิทยาวันละครั้ง ก็อาจจะต้องโทรบ่อยขึ้น ดึกดื่นโทร มีปัญหาโทร บางครั้งแค่โทรหากรมอุตุนิยมวิทยาไม่พอ ต้องโทรถามกรมชลประทาน เรื่องน้ำมันจะเป็นยังไง มันสอดคล้องกัน เราต้องดึงข้อมูลทุกส่วนมานำเสนอให้กลม และครบถ้วนที่สุด แล้วพอยิ่งเป็น Climage Change คนจะยิ่งอยากรู้ จากเมื่อก่อนรู้แค่ร้อนกับหนาว แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เราก็ทำสนอง Need คนดูให้เต็มที่ เราต้องหาข้อมูล ทำการบ้านกันหนักมากยิ่งขึ้น”

มาจนถึงตอนนี้ พี่ปุ้มคิดว่ารายการฝนฟ้าอากาศประสบความสำเร็จแค่ไหนแล้ว

“ของพี่นะ พี่คิดว่าประสบความสำเร็จมากแล้วนะ พี่รู้สึกว่ามันเกินคาด อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่มีเป้าหมายกับมัน ไม่เคยมีความคาดหวังกับมันเลย แถมเรายังติดลบกับมันด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันเกินคาดไปมาก มีหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่ก็เพราะฝนฟ้าอากาศนี่แหละ พี่เป็นที่รู้จัก หลายคนพูดถึง หรือแบบลูกๆ หลานๆ ป.3 อีเมลมาหาบอกว่าหนูชอบพี่มากเลย น้องมหา’ลัยบอกหนูดูพี่ตั้งแต่ประถมเลย เนี่ย ดูสิ พี่รู้สึกว่ารายการนี้กับพี่มันโตมาด้วยกัน เหมือนชีวิตเราที่โตมากับรายการใดรายการหนึ่ง มันนั่งอยู่ในหัวใจคนดูมาโดยตลอด”

เรียนรู้อะไรจากการทำงานรายการนี้

“สำหรับพี่เลย ความสำคัญมันคือ Teamwork พี่คิดว่ามันคือจุดที่เปลี่ยนมุมมองของพี่ อื่นๆ ในตัวเนื้องาน พี่ว่าการพยากรณ์อากาศมันใกล้ตัวมากจริงๆ มันดูสำคัญมากยิ่งขึ้น ความแม่นยำ ความถูกต้องในการให้ข้อมูลยุคปัจจุบันคือเรื่องสำคัญ ตอนนี้ไม่ว่าใครคุณให้ข้อมูลได้ แชร์ข้อมูลได้ ส่งต่อข้อมูลได้ แต่การให้ข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องมันสุ่มเสี่ยงได้นะ คุณเตือนข่าวปลอมเกี่ยวกับสภาพอากาศ มันส่งผลกระทบกับชีวิตของคนที่เกี่ยวข้อง ชาวประมงที่เขาต้องออกเรือ ชาวนาที่ต้องไถนา หว่านข้าว อันนี้เขาจำเป็นจริงๆ เขาพึ่งพาเรื่องนี้จริงๆ มันเหมือนเราได้ใกล้ชิดกับเขามากขึ้น”

ในฐานะของสื่อมวลชน มองสื่อยุคนี้อย่างไร

“เราทำงานกันยากมากยิ่งขึ้น พี่ว่าพี่เห็นใจสื่อมวลชนยุคนี้ด้วยกันเอง มันเป็นการทำงานที่ยากและหนักมากขึ้น ขณะเดียวกันพี่มองว่าเราจำเป็นต้องปรับตัว สื่อยุคนี้ปรับตัวได้ไว และปรับตัวได้เก่ง เราเป็นมนุษย์ เราเรียนรู้การปรับตัวอยู่แล้วแหละ ไม่ปรับตัวเราก็ไม่รอด การทำสื่อก็เช่นเดียวกัน”

เปรมสุดาที่มากกว่าเดิม

พูดถึงอีกขาของการทำงานของพี่ปุ้มบ้าง จากการทำฝนฟ้าอากาศที่ได้แสดงบทบาทต่างๆ ทำให้มีงานแสดงเข้ามาด้วย งานเหล่านั้นมันเพิ่มทักษะอะไรให้กับเราบ้าง

“ฝนฟ้าอากาศมันเป็นการอ่านข่าวที่ต้องสวมมโน จินตนาการ คนดูเห็นฉาก แต่เราไม่เห็นอะไรเลย เราเห็นแค่สีเขียว เราต้องเริ่มจากเซนเตอร์ตรงกลาง ทีมงานก็บรีฟ “เดี๋ยวปุ้มเดินมาแล้วชะโงกไปในตุ่มนะ” สมมติมีตุ่มอยู่ตรงนี้ “แล้วปุ้มตกใจนะ เหมือนเห็นผีอยู่ในตุ่ม” เราก็ต้องคิดแล้ว เดี๋ยวจะมีซีนนะ มีเพลงวังเวงเข้ามาทีหลังที่ทีมงานเอามาใส่ เราทำงานกับความมโนอย่างเดียว พอเริ่มปั๊บ ก้าว 1 2 3 (ทำท่าชะโงกหน้าไปดูในตุ่ม) วร้า (ลากเสียงยาวจำลองความรู้สึกตกใจ) มันคือการแสดง ผสมเนื้อหา เพื่อทำให้คนสนใจ มันคงเป็นทักษะในการแสดง แต่ไม่ใช่รูปแบบเฉพาะทางเหมือนการแสดงละครที่เขาอาจจะมีครูสอน มันเป็นการทำงานซ้ำๆ ทุกวัน ฝึกฝนทุกวัน ได้ลองทำ ลองคิดทุกวัน สะสมมา

พอมีงานรับเชิญมา ตอนแรกก็เป็นบทนักข่าว ในละครของพี่วุธ-อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร อันนั้นเรื่องแรกเลย (ละครเรื่อง คุณแม่เฉพาะหน้า คุณย่าเฉพาะกิจ ทางช่อง 7HD เมื่อปี พ.ศ. 2556 – ผู้เขียน) เกร็งมาก แม้จะได้รับบทเป็นนักข่าวพยากรณ์อากาศนะ กล้องนี่คือยังไงวะ เหมือนกล้องกองละคร กับกล้องข่าวทีวีมันไม่เหมือนกัน กล้องทีวีมันต้องกระชับมาก จบปุ๊บต่อปั๊บ แต่กล้องละครมันต้องมีจังหวะรับหน้า เปลี่ยนมุม บางทีทีมงานก็สั่งให้พี่ทิ้งอารมณ์ “ทิ้งอารมณ์อะไรวะ” ถ้าเกิดเป็นข่าว “ไว ! ไว ! หมดแล้ว ! หมดเวลา ! จบ ! จบ ! จบ ! (ย้ำเสียงด้วยความรู้สึกเร่งรีบ)” เราก็ต้องรีบจบ แต่อันนี้มันเป็นอีกศาสตร์หนึ่ง สิ่งที่เรามีมันแค่แอคติ้งเล็กๆ แต่นี่มันคือการแสดงเลย

มาเรื่องที่สองของพี่ธงชัย ประสงค์สันติ เป็นโปรเจกต์ใหญ่ในละครเรื่อง มือปราบเจ้าหัวใจ (หนึ่งในละครชุดภารกิจรัก ทางช่อง 7 เมื่อปี พ.ศ. 2560 – ผู้เขียน) เราก็รับบทเป็นนักข่าวอีก เล่นกับน้องขวัญ-อุษามณี ไวทยานนท์ แล้วก็น้องพอร์ช-ศรัณย์ ศิริลักษณ์ เราก็รู้สึกว่ามันยาก แต่มันยังคงมีเสน่ห์

จบจากตรงนั้น ล่าสุดของดีด้าวิดีโอ อันนี้ไม่ใช่บทนักข่าวแล้ว เขาบอกบทนี้เหมาะกับพี่มาก พี่เขาอยากให้พี่ปุ้มเล่น ละครเรื่องนี้เป็นละครที่เคยทำแล้วก็เอามารีเมค เรื่องตุ๊กตา เขาให้พี่เล่นเป็นหมอผี ชื่ออุบะ ถามว่ามันยากมั้ยมันก็ยาก แต่มันก็สนุก ไม่เกร็งมาก เพราะเป็นบทหมอผีเข้าทรง มีลูกประคำอะไรแบบนี้ มันพอจะแก้ความเขินของเราไปได้”

Enjoy กับงานแสดงมากแค่ไหน

“เอาจริงมันก็ยังยากอยู่ ถ้าให้ไปรับเชิญก็พอได้ ล่าสุดไปเล่นซีรีส์ใน Netflix ไปลองดู อยากรู้ Feel มันเป็นยังไง รอบนี้ก็ยังรับบทพิธีกรอีก พี่ก็ขอนายไปว่า “ปุ้มอยากรู้ว่าถ้าเขาถ่ายภาพยนตร์ แต่มันไปออนใน Netflix จะเป็นยังไง” เราอยากรู้การทำงานเบื้องหลังว่าเป็นยังไง เล่นกับ นัท-ณัฏฐ์ กิจจริต หล่อเหลือเกิน เก่ง ละมุน อยากจะถ่ายสัก 30 เทค อยากจะสัมภาษณ์นานๆ ได้มั้ย (หัวเราะ) ก็เป็นอีก Feel หนึ่งค่ะ ถ้าให้ไปนิดๆ ยังได้ แต่ถ้าให้อยู่ยาวๆ ทำเป็นอาชีพไปเลยพี่ว่าไม่ได้ มันไม่ถูกจริตเรา พี่อยู่มา 13 ปี เราอยู่กับความไว แต่งานแบบนี้มันต้องใช้เวลา เป็นศิลปะ เราอาจจะใจร้อนเกินไปกับศาสตร์เหล่านี้”

มีงานไหนที่อยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำ

“แม่ก็เป็นแล้ว เมียก็เป็นแล้ว น่าจะหมดแล้วนะ ทุกวันนี้ก็แฮปปี้กับงานแล้วนะ มันเหลืองานที่เราอยากทำเอง ตอนนี้เราอยากทำงานกับคนที่เราอยากทำด้วย อยากตามใจเรา ตาม Passion ข้างในเราแล้ว

คนหนึ่งที่พี่อยากทำงานด้วยก็คือพี่หว่องนี่แหละ (หว่อง-พิสิทธิ์ กิรติการกุล) เราเห็นระเบียบ ความตั้งใจการทำงานของเขา น้อยคนนักที่จะเป็น Senior เป็นกูรูทางด้านข่าว แล้วมีวินัยขนาดนี้ ทำการบ้านเป็นคลังข้อมูล ก่อนหน้านี้เราอยากทำ แต่เราคิดว่าฝีมือเรายังไม่ถึงพอ แต่ตอนนี้เราแบบ เอาเว้ย เอาลูกบ้าเข้าสู้ เมื่อก่อนก็มีโอกาสได้จัดคอข่าว เกร็งมาก พี่หว่องบอก “พูดบ้างปุ้ม พูดอะไรบ้าง” เราแบบ “ค่ะ พี่หว่องคิดยังไงคะ (น้ำเสียงอ่อนน้อมถ่อมตน)” ทำไม่ได้ เหมือนเจอคนที่เก่งมากๆ มาตอนนี้เราคิดว่ามาระดับหนึ่งแล้ว เราเอาลูกบ้า ความเฮฮาไปคุยกับพี่เขา หลังจากนั้นก็ได้ร่วมงานกับพี่หว่องบ่อยขึ้น ได้ทำคอข่าวรอบโลกพักหนึ่ง แล้วก็มาออนไลน์ ย่อยข่าวรัสเซีย-ยูเครน นั่งคุยกับพี่เขา

อย่างอื่นที่คิดว่าอยากทำ พิธีกรก็เคยทำแล้ว ละครก็ได้เล่นแล้ว ข่าวก็ได้อ่านข่าวแล้ว พี่ก็อยากทำรายการข่าวที่สนุก ท้าทาย ทำรายการออนไลน์ก็ได้ เพราะเราอยากทำให้มันสนุกกว่านี้ ดูเพลินๆ ไปเลย อาจจะไม่ได้เอาสาระมากเท่าไหร่ แต่อยากให้มันบันเทิ้งบันเทิง แต่ยังมีกลิ่นของข่าวอยู่ เพราะถ้า Feel เราจะได้ทำบันเทิงโป๊งชึ่งก็ไม่ได้อยู่ดี”

ช่อง 7 ให้ประสบการณ์อะไรกับเปรมสุดาตลอด 13 ปีที่ผ่านมาบ้าง

“ให้ชีวิตพี่ ช่อง 7HD ให้ทุกอย่างกับพี่ตอนนี้เลย 13 ปีที่ผ่านมา ส่วนมากมันเป็นความทรงจำที่ดีนะ แต่ละช่วงชีวิตก็มีโมเมนต์การทำงานที่กระทบกระทั่งบ้าง มีปัญหาบ้าง แต่พี่ว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเลยกับสิ่งที่เราได้ เรายังแฮปปี้ อยากมาทำงานทุกวัน เรายังภูมิใจที่อยู่ในช่อง 7HD คนดูยังคงติดตามเรา หรือช่วงนี้คนอาจจะไม่ค่อยได้เห็นหน้าเราเท่าไหร่ เฮ้ย เปรมสุดายังอยู่ฝนฟ้าอากาศมั้ย หรือยังไง อ่านช่วงไหน พอคนพูดถึงอย่างนี้แล้ว เราก็แฮปปี้กับงานที่เราตั้งใจทำมากๆ ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา”


ถ่ายภาพโดย ธเนศ แสงทองศรีกมล