fbpx

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สำนักข่าวอย่างเนชั่นนั้นเป็นสำนักข่าวที่ผู้อ่านได้ให้ความไว้วางใจในข่าวที่มีคุณภาพ และความเที่ยงตรง แต่เมื่อหลังจากผู้ร่วมก่อตั้งอย่างสุทธิชัย หยุ่นได้เดินออกจากวงการข่าวในสำนักของเนชั่น จุดตรงนั้นเองที่ทุกคนสามารถมองถึงความเปลื่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด การสนับสนุนรัฐบาลของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา รวมถึงการสนับสนุนบุคคลชั้นนำในพรรคพลังประชารัฐ หรือแม้แต่บุคคลที่มีตำแหน่งสูงในกองทัพบก ที่มีตำแหน่งในรัฐบาลปัจจุบัน ทำให้มีข้อสงสัยเกิดขึ้นมา ว่าสื่อของเนชั่นนั้นมีเปลื่ยนแปลงไปอย่างไร และมีอิทธิพลอะไรที่เกี่ยวข้องกับการที่ทำให้ช่องในเครือของเนชั่นกลายเป็นสิ่งที่เห็นในวันนี้ 

เนชั่น และสื่อต่างๆ ในเครือของเนชั่นในปัจจุบันนั้นเป็นที่รู้กันดีว่ามีจุดยืนทางการเมืองที่เอนเอียงไปทางขวา และเป็นหนึ่งในสื่อที่สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลไม่ว่าจะมีข้อดีหรือเสียอย่างไร จุดของความสนใจนั้นมักจะมาอยู่ที่สื่อในเครือเนชั่นอยู่เป็นระยะ ๆ แต่อย่างไรก็ตาม มันจะเป็นการมองข้ามไปเสียเปล่า หากเราไม่ดูสิ่งที่ิอยู่ใต้ลึกของการนำเสนอข่าวที่สื่อเหล่านี้พยายามจะทำอยู่

ในโครงข่ายของการบริหารของเครือเนชั่นทั้งหมดทั้งมวลจะอยู่ภายใต้การดูแลของคนสามคน สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, ฉาย บุนนาค และฉัตรชัย ภู่โคกหวาย โดยที่ทั้งสามคนนี้มีความเชื่อมโยงที่น่าสนใจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของช่องทีนิวส์ของสนธิญาณ หรือคู่สมรสที่ไม่ใช่คู่สมรสของฉาย และสถาบันทิศทางไทของฉัตรชัย ไม่ว่าจะดูในมุมมองไหน มีอยู่มุมมองเดียวเท่านั้นที่ให้ความชัดเจนได้เท่านั้น ก็คือ สามบุคคลนี้เป็นกลุ่มบุคคลที่สามารถตรวจสอบข่าวจากเครือของตัวเองก่อนที่จะนำไปเผยแพร่ได้ แต่เหตุอะไรที่ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ?

สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม กับเครือข่ายปกป้องสถาบัน

ก่อนที่สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม จะได้ขึ้นมาเป็นประธานกรรมการบริหารของเนชั่น บรอดแคสติง คอร์ปอเรชัน และรองประธานกรรมการของเนชั่นมีเดียกรุ๊ป สนธิญาณได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานและกรรมการผู้อำนวยการของทีนิวส์มาก่อน ซึ่งทีนิวส์นั้นมีชื่อเสียงในการสนับสนุนรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาตั้งแต่ในช่วงการรัฐประการในปี 2557 นอกจากนั้นแล้วสิ่งที่น่าสนใจของสนธิญาณอีกหนึ่งข้อนั้นก็คือ การที่สนธิญาณดำรงตำแหน่งเป็นประธานเครือข่ายเฝ้าระวังพิทักษ์ และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นองค์กรที่เกิดขึ้นมาเพื่อเป้าหมายในการรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งแน่นอนว่าวาทกรรมหรืออุดมการณ์ใดที่เกิดขึ้นและเผยแพร่โดยกลุ่มบุคคลอื่นๆ ที่เครือข่ายนี้เห็นว่าเป็นการบ่อนทำลายสถาบัน ก็ย่อมเป็นสิ่งที่กลุ่มเครือข่ายนี้ไม่เห็นด้วย และนั่นก็รวมไปถึงประธานเครือข่ายด้วยเช่นเดียวกัน

แต่ทำไมถึงตำแหน่งประธานเครือข่ายนี้ถึงสำคัญ นั้นก็เพราะว่า สิ่งที่ตามมาจากความเห็นและความคิดที่ไม่ตรงกันแล้ว มันมาพร้อมกับวาทกรรมที่สร้างความเกลียดชังต่อกลุ่มบุคคลที่มีอุดมการณ์ที่ไม่เหมือนกัน และสิ่งนั้นก็มาพร้อมกับคำว่า “ล้มเจ้า” ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยตอนนี้นั้น และส่ิงนั้นเองก็เป็นสิ่งที่สร้างความเป็นไปได้ ที่บุคคลที่มีลักษณะตำแหน่งที่คล้ายกับสนธิญาณนั้น สามารถแทรกซึมวาทกรรมเหล่านี้ลงไปในสื่อที่ตนเองเป็นเจ้าของได้ และกระจายวาทกรรมนี้ แก่กลุ่มบุคคลที่ความเห็นนั้นไม่ตรงกันก็ย่อมได้ ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก โดยเฉพาะกับเสือตัวที่สองของเครือเนชั่น

คู่สมรส (ที่ไม่ใช่คู่สมรส) ของฉาย บุนนาค

ถึงแม้ว่าสนธิญาณนั้นจะเป็นบุคคลที่น่าสนใจ แต่ใช่ว่าฉาย บุนนาค จะไร้ความน่าสนใจเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกับความน่าสนใจที่อยู่ในภรรยาที่ไม่ใช่ภรรยาของเขา ที่สังคมไทยรู้จักกันในนาม “มาดามเดียร์” วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐในปัจจุบัน ถามว่าทำไมเป็นเรื่องที่สำคัญ ? แน่นอนว่ามาดามเดียร์นั้นไม่ได้มีตำแหน่งที่สูงใหญ่ในกลุ่มรัฐบาลปัจจุบัน แต่เธอนั้นมีความสำคัญในการเป็น “ตัวกลาง” ระหว่างรัฐบาล และสื่ออย่างเนชั่น และบุคคลที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือฉาย บุนนาค สามีที่ไม่ใช่สามีของเธอเอง

แต่ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นกัน แน่นอนว่าสองคนนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จดทะเบียนแต่งงานกัน แต่เมื่อก่อนที่เธอจะมีตำแหน่งทางการเมือง เธอเคยเป็นอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชัน และบริษัทสปริงนิวส์ คอร์ปอเรชัน ที่ตอนนี้ได้เข้าไปอยู่ในการควบคุมของเครือเนชั่นในปัจจุบัน การที่ตำแหน่งของสามีและภรรยานั้นเอื้อประโยชน์กัน ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับสื่อในเครือเนชั่นที่ออกข่าวผ่านสื่อที่เอื้อและแสดงไปในท่าทีที่ดีต่อรัฐบาลประยุทธ์ และเป็นที่แน่นอนว่าการที่ฉาย บุนนาค และมาดามเดียร์ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ก็เพราะว่าจะเป็นเรื่องนี้หรือไม่ ? แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็น่าสนใจไม่เท่ากับคนที่สามของเครือเนชั่น

ฉัตรชัย ภู่โคกหวาย และสถาบันทิศทางไทย

ฉัตรชัย ภู่โคกหวายอาจจะดูเป็นคนที่น่าสนใจน้อยที่สุดในบรรดาสามผู้บริหารใหญ่ของเครือเนชั่น แต่ใช่ว่าเขาผู้นี้จะไม่มีอะไรแอบแฝงเลย เขาผู้นี้ นอกจากดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของเครือเนชั่นแล้ว แต่ยังดำรงตำแหน่งเคียงข้างสนธิญาณในฐานะเลขาธิการของเครือข่ายเฝ้าระวังพิทักษ์ และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ แน่นอนว่าเมื่อมีสนธิญาณและฉัตรชัยพร้อมกัน จะทำให้การประมาณการที่ได้กล่าวไปเมื่อสักครู่เริ่มมีความเป็นไปได้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องจะจบเพียงเท่านี้ หากนายฉัตรชัยไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นอุปนายกของสถาบันทิศทางไทย ซึ่งสถาบันทิศทางไทยในปัจจุบันก็นำเสนอเนื้อหาและการรณรงค์ที่เอนเอียงไปทางอุดมการณ์เดียวกันกับของเครือข่ายเฝ้าระวัง และปกป้องพิทักษ์สถาบัน และสนับสนุนวาทกรรมที่สร้างความเกลียดชังอย่าง “ชังชาติ” หรือ “ล้มเจ้า” อย่างต่อเนื่อง เป็นไปได้หรือไม่ที่สามคนที่มีความเชื่อมโยงต่อองค์กรที่มีอุดมการณ์ที่สร้างความเกลียดชัง และความเชื่อมโยงต่อการสนับสนุนรัฐบาลนี้อย่างเอนเอียง โดยละทิ้งจริยธรรม และจรรยาบรรณของสื่อนั้น จะทำให้เนชั่นนั้นเปลื่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่ ? 

แน่นอนว่า ณ ตอนนี้ เมื่อรวมกันสามคนนี้ จะทำให้เห็นว่าช่องเนชั่นนั้นไม่ใช่ช่องที่สุทธิชัย หยุ่นได้มองไว้ตอนที่ก่อตั้งบริษัทสื่อนี้ขึ้นมาอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังมีข้อสงสัยและความลับอีกหลายอย่างที่เรายังต้องมองและค้นหา โดยเฉพาะกับกลุ่มการเมืองที่มีมายาวนานที่สุด และช่องเนชั่นจะมีความเกี่ยวโยงที่ใหญ่กว่าที่เราเห็นหรือไม่ ? แน่นอนที่สุดว่าในประเด็นนี้ ไม่ได้จบเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน