fbpx

Sex Education เพศศึกษา (หลักสูตรเร่งรัก) ซีรีส์เรื่องนี้เป็นผลงานการเขียนบทของลอรี นันน์และสร้างโดยบริษัท Eleven ผู้ที่รับหน้าที่กำกับซีซั่น 2 คือเบน ไทเลอร์, อลิส ซีไบรท์ และโซฟี กู้ดฮาร์ท ร่วมด้วยทีมผู้อำนวยการสร้างอย่างเจมี่ แคมป์เบล, ลอรี นันน์ และเบน ไทเลอร์ เป็น Netflix original series ที่ได้รับความนิยมมากตั้งแต่ซีซั่น 1 จนมาถึงซีซั่น 2 ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2020 ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในทุกกลุ่มช่วงอายุ ในซีซั่นนี้ได้เปิดตัวมาได้ทั้งหมด 8 ตอนด้วยกัน ตัวเนื้อเรื่องพูดถึงปัญหาต่างๆ ของวัยรุ่นที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเซ็กซ์ เรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก ระหว่างการแก้ปัญหาในแต่ละจุดได้อธิบายความรู้เกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ด้วย ทำให้คนดูรู้สึกไม่อึดอัด เหมือนเพื่อนสอนเพื่อน และตัวซีรีส์พยายามแสดงให้เห็นว่าเรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องปกติและเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ควรได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง

เรื่องย่อ Sex Education เพศศึกษา (หลักสูตรเร่งรัก)

เป็นเรื่องราวของโอทิส มิลเบิร์น (รับบทโดย เอซา บัตเตอร์ฟีลด์) เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่สามารถให้คำแนะนำทางเพศได้ ซึ่งอาศัยอยู่กับจีน (จิลเลี่ยน แอนเดอร์สัน) ผู้เป็นแม่ที่เป็นนักบำบัดทางเพศเพียง 2 คน ในซีซั่น 1 เมฟ ไวลีย์ (เอ็มมา แมคกีย์) ได้ชวนโอทิส ได้ตั้งคลินิกบำบัดทางเพศแบบลับๆ ขึ้นมาในโรงเรียนเพื่อให้คำปรึกษาทางเพศอย่างที่เขาถนัด ส่วนในซีซั่น 2 นี้ จะได้ไปติดตามความสัมพันธ์ของโอทิสกับโอล่า แฟนสาว (แพทริเชีย แอลลิสัน) ที่ตกลงคบหากันและในขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับความสัมพันธ์อันปวดร้าวของเขากับเมฟ ในส่วนของจีนก็กำลังจะไปด้วยสวยกับเจค็อป (มิคาเอล เพอร์สแบรนด์ท) ผู้เป็นพ่อของโอล่า ทางด้านโรงเรียนมัธยมศึกษามัวร์เดลที่พวกเขาเรียนอยู่ต้องเจอภาวะโรคหนองในเทียม ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นบ่อยในอเมริกา ระบาดจนต้องปรับหลักสูตรเพศศึกษาในโรงเรียนให้ดีกว่าเดิม นอกจากนี้ ยังมีเด็กใหม่ที่พึ่งย้ายเข้ามาในเมืองมาทำให้หัวใจของเอริค (เอ็นคูติ กัตวา) ตื่นเต้นอีกครั้ง

ซีรีส์เรื่องนี้ให้อะไรเรามากกว่าแค่เพศศึกษา?

Sex Education เพศศึกษา (หลักสูตรเร่งรัก) ในซีซั่นนี้ไม่ได้สอนเพียงแค่เรื่องเพศเพียงอย่างเดียว แต่ยังสอนเรื่องความสัมพันธ์ ซึ่งในซีซั่นนี้มีความซับซ้อนและหลายรูปแบบมาก ทุกความสัมพันธ์มีปัญหาและให้อะไรเรามากกว่าแค่การดูเพื่อความสนุกเพียงอย่างเดียว

ใส่ใจคนที่เรารักก่อนที่จะสายไป

อดัมมีพ่อที่กดดันทางด้านการเรียนมากจนเกินไปและจริงจังกับการทำงานมากจนลืมที่จะรักษาความสัมพันธ์ของคนรัก ผลที่ตามมาก็คือการที่อดัมไม่มีความสุขและเกิดการหย่าร้างกัน ปัญหานี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของหลายๆ ครอบครัวที่มีอยู่ในชีวิตจริง ผลของการที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้คือทำให้ครอบครัวไม่มีความสุขและอาจจะเหมือนในซีรีส์หรืออาจจะร้ายแรงกว่านี้ วิธีแก้ไขปัญหานี้คือ แบ่งเวลาให้ครอบครัว พูดคุยเปิดใจกัน ถามหาความต้องการของคนรัก หรือลูกว่าต้องการอะไรจริงๆ

และถ้าหากพูดถึงเรื่องความกดดัน ครอบครัวของแจ็คสันก็กดดันไม่แพ้กันในทางด้านกีฬาและการฝึกซ้อมเพื่อทุนในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอย่างที่ครอบครัวหวัง แม่ทั้งสองคนของเขากดดันและเข้มงวดในการฝึกซ้อมว่ายน้ำของเขาเป็นอย่างมาก จนแจ็คสันไม่มีความสุขกับการว่ายน้ำเหมือนเมื่อก่อน ทำให้เขาจงใจทำให้เกิดอุบัติเหตกับมือของตัวเองเพื่อจะได้ไม่ต้องไปซ้อมว่ายน้ำอีก แจ็คสันพบว่าการไม่ได้ไปว่ายน้ำด้วยแรงกดดันมหาศาลนั้น ทำให้เขามีความสุข เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าแรงกดดันทางด้านต่างๆ ที่มาจากครอบครัวส่งผลต่อลูกเสมอ การที่ครอบครัวกดดันมากไปจะทำให้เด็กเกิดการต่อต้านต่อการกระทำนั้น และไม่มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ถึงแม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่รักก็ตาม

เตรียมแผนสำรองไว้เสมอ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่มือของแจ็คสันเกิดอุบัติเหต ทำให้แจ็คสันต้องไปตั้งใจเรียนเมื่อเขาว่ายน้ำไม่ได้ และครูใหญ่ได้ให้วิเวียนติวให้เขา ระหว่างการติววิเวียนได้ถามเขาว่าถ้ามือนายไม่หาย นายจะมีแผนสำรองอะไรบ้าง จนทำให้แจ็คสันตัดสินใจลงเล่นละครเวทีของโรงเรียนเพื่อเป็นแผนสำรองในชีวิตอย่างที่เธอได้แนะนำมา ซึ่งในชีวิตจริงเราควรเตรียมแผนสำรองไว้บ้างเมื่อแผนที่เราวางไว้มันไม่สำเร็จหรืออาจจะเกิดข้อผิดผลาด เพราะข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ

ความเชื่อใจมันสร้างยาก แต่มันทำลายง่ายนิดเดียว

การกลับมาของเอริน (ผู้เป็นแม่ของเมฟ) พร้อมกับลูกสาวคนเล็กอีก 1 คน หลังจากที่จากเมฟเมื่อยังเด็กและทิ้งไว้กับพี่ชาย ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้เธอบอกเมฟว่าเธอได้เลิกเสพยาเสพติดและเข้ารับบำบัดแล้ว แต่เมื่อช่วงแรกเธอได้ทำให้เมฟเห็นว่าเธอเปลี่ยนแปลงไปแล้วแต่พออยู่ด้วยกับระยะหนึ่งเธอกลับทำตัวเหมือนเมื่อก่อน พร้อมกับโกหกเมฟว่าเธอไปทำงานทั้งที่จริงๆแล้วเธอไม่ได้ไปทำงาน ทำให้เมฟแปลกใจขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเมฟก็ได้รู้ว่าแม่ของเธอยังคงเสพยาเสพติดอยู่ จากนั้นเมฟได้ตัดสินใจที่จะโทรเรียกสังคมสงเคราะห์มารับน้องสาวเธอไปเนื่องจากแม่เธอติดยาเสพติดและไม่มีคุณสมบัติที่จะเลี้ยงน้องสาวเธอ เหตุการณ์นี้ทำให้เห็นว่าความเชื่อใจที่เมฟมีให้ต่อแม่ของเธอนั้นมันสร้างยาก แต่มันก็ทำลายได้เพียงแค่นิดเดียว และการที่เมฟตัดสินใจแบบนั้นลงไปคงมาจากเพราะเหตุการณ์ตอนสมัยเด็กของเมฟที่อยู่กับแม่เธอซึ่งติดยาเสพติดและเลี้ยงดูมาไม่ดีเท่าที่ควร จึงทำให้เธอตัดสินใจเรียกสังคมสงเคราะห์มารับน้องสาวเธอไปเพราะคิดว่าน่าจะดูแลน้องสาวเธอได้ดีกว่าแม่ของเธอเอง

ผู้หญิงก็เหมือนกับส้ม ซึ่งส้มทุกผลแตกต่างกัน ตามหาจังหวะของส้มให้เจอ  

เป็นคำแนะนำที่โอทิสได้หลังจากที่ไปปรึกษาเรื่องการใช้นิ้วกับแฟนสาวเธอ หลังจากที่โอทิสทำตามทฤษฎีแล้วไม่ได้ผล คำแนะนำนี้จะสื่อว่าเราควรพูดคุยกับคนรักของเราในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรี่องเซ็กซ์ เรื่องการใช้ชีวิตร่วมกัน หรือเรื่องอื่นๆ ปรับความเข้าใจกันเพราะเราทุกคนแตกต่างกัน ทฤษฎีไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน เราควรปรับเข้าหากันและตามหาจังหวะของอีกฝ่ายให้เจอ

การโดนทำอนาจารในที่สาธารณะเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

ในวันเกิดของเมฟ เอมี่ได้ตั้งใจทำเค้กก้อนแรกของเธอเพื่อมาเซอร์ไพรส์เมฟ เพื่อนรักของเธอ แต่ระหว่างการเดินทางมาโรงเรียนนั้น เอมี่ได้ขึ้นรถเมล์ที่เธอนั่งทุกวันและได้มีผู้ชายคนนึงมาทำอนาจารกับเธอ ทำให้เธอเสียใจและตกใจกับเหตุการณ์นี้มาก เมฟจึงพาเอมมี่ไปแจ้งความเรื่องนี้เพื่อเอาผิดกับผู้ชายคนนั้นและไม่ให้ไปทำซ้ำกับผู้หญิงคนอื่นอีก จากเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเอมมี่มาก ทั้งการเห็นภาพหลอนของผู้ชายคนนั้นเรื่อยๆ ทำให้เธอไม่กล้าขึ้นรถเมล์อีก หรือแม้แต่การที่ไม่กล้าให้ผู้ชายมาแตะเนื้อต้องตัวเธอแม้แต่แฟนหนุ่มเธอเองก็ตาม จากเหตุการณ์นี้ทำให้คนดูเห็นว่าเรื่องการทำอนาจารให้ที่สาธารณะส่งผลกระทบต่อจิตใจคนอื่นมากแค่ไหน เราไม่ควรมองข้ามกับเรื่องนี้และควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบเพื่อเอาความผิดกับคนที่ทำอนาจาร

จงซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง

การที่เมฟกับโอทิสหลงรักกันมาตั้งแต่ซีซั่น 1 แต่ยังไม่ได้คบกันซักที ทั้งๆ ที่ทั้งคู่คิดเหมือนกัน จนตอนนี้ซีซั่นที่ 2 ทั้งคู่ก็ยังไม่ได้คบกับถึงแม้ว่าตอนจบก็แอบลุ้นแต่ก็ยังมีคนอื่นมาขัดขวางทำให้คนดูผิดหวังอีกครั้ง การที่ทั้งคู่ไม่ได้คบกับตั้งแต่ซีซั่น 1 เป็นเพราะว่าเมฟและโอทิสไม่ยอมบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปตั้งแต่แรก แต่ซีซั่นนี้ทั้งคู่ก็ได้สารภาพความในใจออกมาแต่มันก็ดันผิดที่ ผิดเวลา เนื่องจากโอทิสมีแฟนไปแล้ว แต่อย่างน้อยเราก็ได้บอกความรู้สึกของตัวเองออกไปและทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับเรา ถึงแม้ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายตามมาทีหลังก็ตาม

ทุกปัญหาในซีรีส์สะท้อนถึงปัญหาจริงๆ ของวัยรุ่น ซึ่งแต่ละปัญหามีความละเอียดอ่อนและส่งผลกระทบต่อจิตใจ บางปัญหาอาจจะเป็นปัญหาที่เราไม่กล้าไปปรึกษาใครหรือไม่รู้ว่าจะหาทางแก้ยังไง ในการแก้ไขปัญหาของตัวละครแต่ละตัวล้วนมีความแตกต่างกันไปตามนิสัย ความคิด การเป็นอยู่ และการถูกเลี้ยงดูมาของตัวละคร และสะท้อนให้เห็นว่าในต่างประเทศเรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องที่เปิดเผย การมีเซ็กส์เป็นเรื่องที่ปกติ แต่ในถ้ามองในฐานะวัฒนธรรมไทย ผู้ใหญ่หลายคนคงยังไม่เปิดรับกับเรื่องนี้