fbpx

สวัสดีครับ วันนี้พวกเราชาวกองบรรณาธิการเว็บไซต์ส่องสื่อได้โอกาสดึงนักร้องผลงานดีอย่าง “แพททริค-อนันดา ชื่นสมทรง” มาพูดคุยกันที่คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกี่ยวกับเรื่องการเรียนและการทำงานของเขาว่าแท้จริงแล้วเขาชอบเรียนแบบไหน? ยังไงกันบ้าง? แล้วทำไมถึงเลือกมาเป็นนักร้องกัน? ติดตามบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ที่ยาวมากๆ แต่รับรองได้ว่าอ่านสนุก แถมรีวิวคณะแบบแซ่บที่สุดจนคุณจะหยุดอ่านไม่ได้เลย ไปติดตามกันได้เลยยย

หมายเหตุ : บทสัมภาษณ์นี้ได้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะลุกลามจนเกิดการประกาศควบคุมพื้นที่

ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้างครับ?

ช่วงนี้ก็ทำ Thesis อย่างเดียวเลยครับผม ใกล้จะเรียนจบแล้ว ก็เลยไม่ได้ทำเพลงเลย หลัง ๆ ครับก็นั่งทำ Thesis ทุกวันเลย (หัวเราะ) เขียนทุกวันเลย ไม่ได้ทำเพลงเลย แต่ว่าเดี๋ยวปีนี้จะมีทำมินิอัลบั้มมีประมาณ 5-6 เพลง

ทำไมเราถึงตัดสินใจเลือกสอบเข้ามาที่คณะวารสารศาสตร์ฯ ธรรมศาสตร์?

คือตอนนั้นจะเข้าสแตมฟอร์ดครับ ได้ทุนด้วย แต่ว่าที่บ้านเขาไม่อยากให้เข้าสแตมฟอร์ด เขาอยากให้ไปสอบมหาวิทยาลัยรัฐ ตอนนั้นผมไม่ค่อยคิดเรื่องเรียน เป็นคนแบบไม่ค่อยตั้งใจเรียนอะไรอย่างนี้ ไม่ได้มองไปถึงว่า โอเคที่ที่เราเรียนน่ะมันจะสำคัญอะไรอย่างนี้ ถ้ามีสแตมฟอร์ดก็เข้าสแตมฟอร์ดครับ แต่ว่าสุดท้ายก็ต้องไปหามหาวิทยาลัยรัฐสอบ แล้วทีนี้ผมไม่เคยเรียน SAT ที่ต้องใช้ยื่นอะไรพวกนี้มาก่อนครับ แต่ว่ามี TU-GET ของธรรมศาสตร์ ซึ่งก็ไม่เคยสอบเหมือนกันครับ แต่ได้ยินว่ามันง่ายกว่า SAT CU-TEP CU-AAT อะไรพวกนี้นะครับ ผมก็ไม่รู้ว่าจริงเปล่านะ

แต่พอมาสอบก็ได้เกินที่เขาต้องการ เขาขอประมาณ 400 กว่า ผมได้ประมาณ 600-700 ก็เลยยื่นคณะนี้ครับผม ถ้าถามว่าทำไมยื่นวารสารผมว่ามัน ตอนนั้นรู้สึกว่ามันคล้าย ๆ นิเทศฯก็เลยทางนี้ละกัน เพราะว่าถ้าเป็น ECON (เศรษฐศาสตร์/บริหาร) อย่างนี้มันก็ไม่น่าจะใช่ทางเราเท่าไหร่ ก็เลยวารสารน่าจะเหมาะสุดแล้ว เห็นเขาบอกว่าเหมือนนิเทศฯ ผมก็ลองหาข้อมูลมาบ้างนะ เห็นเขาบอกว่ามีเรื่องวิทยุ เรื่องเขียนข่าว เรื่องทีวีอะไรอย่างนี้  ตอนนั้นก็ผมก็เลยยื่นที่นี่ แล้วก็ติดข้อเขียน แล้วก็ติดสอบสัมภาษณ์แล้วแต่ก็งง ๆ เพราะว่าตอนมาสอบ TU ก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไร

แสดงว่าภูมิหลังของเราไม่ได้ชอบเรียนหนังสือ?

ไม่ใช่ชอบเรียนหนังสือ แต่เป็นเด็กกิจกรรม อยู่โรงเรียนชอบเล่นกีฬา เล่นดนตรี แล้วก็อยู่วงโยทวาทิต เล่นเพอร์คัชชันเล่นพวกกลอง หลัก ๆ คือเล่นสแนร์ กลองใหญ่ ทิมปานี สามอย่าง แล้วก็เล่นบาสเก็ตบอล อยู่ชมรม แต่ว่าอยู่ได้ไม่นานครับ เพราะว่าเหมือนสุดท้ายแล้วอยากเล่นดนตรีมากกว่า ก็เลยเลิกเล่นบาสเก็ตบอลแล้วเล่นแค่ดนตรีแล้วกัน

ทำไมเราถึงชอบเล่นดนตรีตั้งแต่มัธยมเลย?

จริง ๆ เล่นดนตรีตั้งแต่ ป.4 แล้วครับ เล่นกลองชุดเป็นอย่างแรก คือตอนนั้น ป.4 เขาให้เลือกเครื่องดนตรีครับว่าจะเล่นเครื่องอะไร ก็ไม่รู้จะเล่นอะไรก็เลยจะไปเล่นเปียโน เพราะว่ามันดูแบบเวลานึกถึงดนตรีมันนึกถึงเปียโนก่อน ตอนนั้นผมยังเด็กนะครับ ผมก็คิดถึงเปียโนก่อน แล้วทีนี้ปู่ผมก็บอกว่า ไม่เอาดีกว่าไปตีกลองดีกว่ามันดูเท่กว่าอะไรอย่างนี้ ผมก็…กลองก็กลอง เลยไปเรียนกลอง สรุปว่าผมไปเรียนแล้วเหมือนไปได้ไวกว่าเพื่อน ๆ ครับ อันนี้ไม่ได้อวดนะ แต่เหมือนแบบด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เรารู้สึกชอบตีกลอง ก็จะไปซ้อมทุกเช้าอย่างนี้ครับ จนมันไปไวมาก จบเล่ม 1 เล่ม 2 พวกแบบฝึกหัดครับ จนจบเร็วมาก จบเร็วกว่าเพื่อนคนอื่นอีก

แล้วตอนนั้นเหมือนเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเรารักสิ่งที่เราทำตรงนี้ เหมือนเราเจอ ตอนนั้นไม่แน่ใจว่ารู้จักคำว่า passion หรือยัง? แต่รู้ว่าทำแล้วอยากมาทำอีก ชอบทำอะไรอย่างนี้ครับ ก็เลยตั้งแต่นั้นมาก็อยู่กับดนตรีมาตลอดเลย กีฬาก็เหมือนจะเป็นอะไรที่มาคู่กันแต่ว่าอยู่รองเป็นเสมอ Hobby (เป็นกิจกรรมยามว่าง) มากกว่า เราจะตั้งใจกับดนตรีมากกว่า อยากให้มันดีอยากให้อะไร ส่วนกีฬาก็เล่นขำ ๆ อะไรอย่างนี้ฮะ

แสดงว่าเราแยกสองอย่างก็คือ Passion สิ่งที่เราชอบ กับ Hobby คืองานอดิเรกที่เราทำ?

ใช่ครับ ทำเหมือนเด็กผู้ชายครับ เด็กผู้ชายก็ชอบเล่นกีฬาเล่นอะไรแบบนี้เป็นเรื่องปกตินะครับผมว่า แต่ที่เราชอบจริง ๆ แล้วอยากจะทำออกมาได้ดีอยากจะพัฒนาตัวเอง อยากจะเก่ง ตอนนั้นที่ผมอยากจะเก่งก็มีดนตรีนี่แหละครับ

กลับเข้ามาตอนสอบสัมภาษณ์เรารู้สึกอย่างไรบ้าง สอบสัมภาษณ์เข้าวารสารฯ เข้าไปด้วยอาการยังไงก่อนอย่างแรก?

ไม่ตื่นเต้นเลยตอนนั้น ไม่รู้สึกอะไรเลยตอนที่เขาประกาศชื่อว่าติดรอบแรกด้วย ติดข้อเขียน ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะว่ารู้สึกแค่ว่าที่บ้าน Happy ที่บ้านเขาดีใจมาก ๆ อย่างนี้ครับ แบบภูมิใจกับผมมาก ผมรู้สึกมันไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ ไม่ใช่จะบอกว่าคนที่สอบติดมหาวิทยาลัยรัฐนี่ไม่ควรจะดีใจหรืออะไร ก็ควรจะดีใจ แต่ตอนนั้นสำหรับผมเองรู้สึกว่ามันไม่ได้ดีใจมากขนาดนั้น เพราะรู้สึกว่ามันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรือว่าอะไรสักอย่างนี่ล่ะ แต่ส่วนตัวผมเอง ผมว่าไม่ได้อยากจะเข้าด้วยไง (หัวเราะ) ถ้าเกิดว่าที่บ้านเขาอยากให้เข้า ผมก็ทำให้ได้ แต่ทุกวันนี้ก็ดีใจที่ได้เข้ามาเรียนที่นี่ครับผม

อยากให้รีวิวในแต่ละชั้นปีก่อนว่าเราเรียนอะไรมาบ้าง?

ปี 1 ส่วนมากเป็นปรับพื้นฐานทั้งนั้นเลยครับ มีเรียน Econ มีเรียนการเป็นพลเมืองดีอะไรอย่างนี้ครับ TU100 รู้จักไหมครับ? ที่มีคนเขาบ่นกันบ่อย ๆ ที่เป็นวิชาอะไรวะ ที่ให้ไปจัดไปแยกขยะที่โรงขยะ แล้วก็มีวิชาอาเซียนมี Creativity มีอะไรอย่างนี้ครับ เหมือนตอนนั้นมันจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคณะที่เรียนเลยครับ แต่ก็เข้าใจว่าทุกคณะหลาย ๆ คณะก็ต้องมาเรียน ก็ไม่ค่อยเกทเท่าไหร่ ตอนนั้นก็ต่อต้านมากเลยว่าทำไมมันดูเหมือนไม่มีประโยชน์เลย มันไม่ค่อย make sense นะ  แรก ๆ ก็ต่อต้านมาตลอดเลย

ก็เบื่อครับ มันเบื่อมาเรียนที่นี่ เคยคิดจะดร็อปด้วย ปี 1 ก็เคยก็คิดแล้วว่าเอออยากจะดร็อป แต่มันก็ได้แค่ลาง ๆ ครับ เพราะรู้อยู่แล้วว่าทำไม่ได้ เพราะว่าที่บ้านไม่ยอมแน่ ๆ ครับ จริง ๆ เป็นคนหัวดื้อนิดนึง แต่ว่าถ้าเรื่องเรียนอะไรพวกนี้จะยอมได้เพื่อคนที่บ้าน เพื่อปู่-ย่า ผมอยู่กับปู่ย่านะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ก็ทำให้ได้ พอเรียนไปเรื่อย ๆ ก็โอเคแล้ว ไม่คิดอะไรแล้ว ก็รีบ ๆ เรียนให้มันจบแล้วกันจะได้ไปทำอะไรที่ตัวเองชอบแบบ Full time ไปเลยไม่ต้องแบ่งเวลาอะไรอย่างนี้ครับผม

ปี 2 คือช่วงที่ผมเริ่มทำเพลง แบบเริ่มคิดที่จะไปซื้อของมาทำเพลงแล้ว อยากมีเพลงเป็นของตัวเอง เพราะว่าตอนเริ่มต้นปี  2 มั้งไปประกวดร้องเพลงครับผม ประกวด La Banda แล้วก็ประกวด X Factor แล้วก็ไม่ติด คือผมไปประกวดร้องเพลงมาตั้งแต่ ม. 5 แล้ว ไม่เคยติดเลย

มีรายการอะไรบ้างนอกจากรายการ La Banda?

มี The voice มี The star ,La Banda ,X Factor 4 รายการแล้วก็ไม่เคยติดเลย พอ X Factor เป็นรายการสุดท้ายที่ไปประกวดแล้วก็รู้สึกว่า พอไม่ติดแล้วก็โอเคไม่ประกวดแล้วดีกว่า ทำเพลงเองดีกว่า แต่ผมทำเพลงไม่เป็นนะ ไม่เคยทำเพลง แต่รู้สึกว่างั้นถ้าไม่มีใครที่จะมาให้โอกาสเราในด้านดนตรี ในด้านทำเพลง สงสัยต้องทำเองแล้วอะไรอย่างนี้ ก็เลยลองก็หาข้อมูล ตอนแรกก็เริ่มทำเพลงบน Garageband บน iPhone 6s ตอนนั้นที่ผมใช้ รู้สึกว่ามันก็ทำได้แต่เหมือนเราทำได้สักพักนึง เราก็รู้สึกว่าอยากจะเปลี่ยนแล้ว อยากจะ Upgrade เป็นอุปกรณ์ที่ดีขึ้นแล้ว ก็เลยไปหาข้อมูลว่ามันมีอุปกรณ์อะไรบ้าง ก็มีลำโพงมอนิเตอร์ แล้วก็มีคีย์บอร์ด มีกีตาร์ มีอินเตอร์เฟส ผมก็โอเค

แล้วก็ผมก็ลองไปหาที่มันถูกที่สุดที่มีตอนนั้นครับ ก็เอาที่มันแบบแค่ใช้ได้พอ เพราะว่าถ้าขอแพงมากที่บ้านผมก็ไม่ให้ ที่บ้านฐานะปกติเลย แต่ว่าไม่ได้สนับสนุนด้านนี้เท่าไหร่ครับผม คือขอไปเที่ยวญี่ปุ่นอย่างนี้ก็ได้ ให้เงินไปได้เลย แต่ถ้าขอเงินไปซื้ออุปกรณ์ทางดนตรีเนี่ยไม่ได้ ถามผมว่าทำไม? ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

คุณปู่คุณย่าเขาก็แก่กว่าผมเยอะน่ะครับ เหมือนพอเราบอกเข้าว่าเราอยากทำเพลงเขาก็จะแบบทำเพลงอะไร จะทำทำไมอะไรอย่างนี้ครับ ตอนนั้นไปขอเงินคุณปู่ คุณปู่ก็ไม่ให้ ผมเลยไปขอเงินพี่สาวคุณปู่ที่สนิทกันเป็นคุณย่า ผมเรียกคุณย่า เขาก็ให้มา 30,000 แต่ตอนนั้นผมก็ต้องผ่อนเขาคืน ทุกวันนี้ผมก็ยังผ่อนไม่หมดนะครับ (หัวเราะ) ตอนนั้นที่ผมผ่อนได้ เพราะว่าทำงาน Freelance เป็น stage manager ตามพวกคอนเสิร์ตต่าง ๆ ครับ เคยทำ H2O งานภายในก็มีบ้าง งานแต่งงานอะไรพวกนี้ครับ ดูแลศิลปิน ดูแลความเรียบร้อยบนเวที ทำอยู่ประมาณปีนึงแล้วก็พอปี 3 เริ่มเรียนหนักขึ้นก็ไม่ได้ไปทำแล้วครับ เพราะพวกนี้มันใช้เวลาแบบทั้งวันทั้งคืน ทำทีนึงมันหกโมงเช้าถึงตีสองอะไรอย่างนี้ครับ ซึ่งมันไม่ได้สะดวก ก็เลยไม่ได้ทำแล้ว

ตอนนั้นผมมีเวลาทำดนตรีเยอะเพราะว่าผมโดดเรียน ให้พูดตรง ๆ เลย ปี 2 นี่คือเละเลย น่าจะปี 2 เทอม 1 ครับที่ได้เกรดแบบ 1.4 คือ F ประมาณ 2 ตัวแล้วก็ D D D C อะไรอย่างนี้ครับ เละเลยเพราะว่าแทบจะไม่ได้เข้าเรียนเลย เพราะว่าไปทำเพลง แต่มาตอนนี้ผมก็คิดว่ามันก็คุ้มนะ(หัวเราะ) แบบว่าปัญหามันคือตรงนี้แหละครับ ที่เคยคิดอยากจะดร็อป เพราะตรงนี้แหละ มันแบ่งเวลาไม่ได้จริง ๆ เหมือนเวลาเราจะตั้งใจกับอะไรสักอย่างมาก ๆ มันแบ่งไม่ได้นะ

มันแบ่งแบบโอเคเรียนคือ Full-time แล้วทำเพลงคือ Part-time คือมันเป็นไปได้ แต่มันอาจจะไม่ได้ออกมาแบบยอดเยี่ยมขนาดนั้น เพราะว่าคนเราเวลาจะโฟกัสอะไรสักอย่าง จะทำอะไรสักอย่าง มันทำได้แค่อย่างเดียวจริง ๆ แต่ตอนนั้นก็คือทำเพลงได้ดีเลย แต่ว่าเรียนไม่ดี แต่ตอนนี้เรียนดี Thesis กำลังไปได้ดี แต่ว่าไม่ได้ทำเพลงอะไรอย่างนี้ครับ มันจะเลือกทั้งสองอย่างให้ดีไปเลยไม่ได้

แสดงว่าสิ่งที่แพททริคกำลังจะบอกก็คือว่าเราต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นแนวหลัก?

ใช่ จริง ๆ นะ แต่มันก็แล้วแต่ด้วยว่าสิ่งที่คุณทำเนี่ย Passion ของคุณคืออะไร? แต่ของผมคือผมเขียนเพลง แต่งเพลง ร้องเพลง ทำเพลง process มันเยอะ ถ้าผมเป็นนักร้องอย่างเดียว คนอื่นแต่งเพลงให้ คนอื่นทำเพลงให้ วันอัดผมก็เข้าไปร้องให้อย่างเดียว มันก็เป็นไปได้ เพราะผมก็ไม่ต้องมานั่งคิดพวกเรื่อง Creative Process การทำเพลง การเรียบเรียง ไม่ต้องนึกถึงเนื้อหาไม่ต้องนึกถึงเรื่องราวที่จะเขียนออกมา แล้วมันก็ไม่ได้บอกว่านักร้องไม่จำเป็นต้องคิดเยอะมากนะครับ แต่หมายถึงว่าอันนี้ผมทำแบบครอบคลุมทุกขั้นตอนเอง มันเลยอาจจะยากนิดนึงที่ต้องมาแบ่งเวลากับการเรียน เพราะการเรียนก็ยากเหมือนกันครับ

พอตอนปีสามเกรดดีขึ้นหรือยัง?

พอปี 3 เกรดดีขึ้นเลยครับ น่าจะเป็นเพราะตอนนั้นผมได้มาคุยเรื่องค่ายเพลงกับหลาย ๆ ที่รวมถึงที่ที่ผมอยู่ตอนนี้ด้วย ตอนนี้อยู่กับ Warner Music Thailand แต่เป็นค่ายที่แยกออกมาอีกทีเป็นค่ายลูกชื่อ DUMB Recordings ครับผม พี่แต๊ป ธนพล (พี่แต๊ป AF) เป็นผู้บริหารค่าย ตอนนั้นได้คุยกัน ผมส่ง Demo เข้าไปทาง DM เขาก็ชอบแล้วก็ได้เข้าไปคุยกัน คือตอนนั้นเหมือนมีช่วงที่ผมทำเพลงแล้วรู้สึกว่ามันไม่ได้ไปไหนเลย เพราะว่าเราทำเพลงไม่จบสักเพลงสักที เหมือนตอนนั้นยังไม่เจอ Sound ที่ตัวเองชอบ พอทำ Project หนึ่งปั๊บ ทำไปเรื่อย ๆ สักพัก มันไม่ใช่อีกแล้ว เหมือนมาทางนี้ก็ไม่ใช่ แล้วก็เปลี่ยนเริ่มใหม่ แล้วก็ทำ ๆ ๆ ไปสักครึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่ใช่อีกแล้ว แล้วก็เริ่มใหม่อยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ครับ เหมือนยังไม่ชัดเจนว่า ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าตอนนั้นอยากทำเพลงแนวไหน

แต่เริ่มมาชัดเจนก็ช่วงที่เริ่มส่ง Demo ไปให้ตามค่ายต่าง ๆ ส่งไปประมาณ 5-6 ที่ครับ แล้วก็ไม่มีใครตอบกลับเลย แล้วก็มีส่งไปให้พี่แต๊ปแบบเป็นรอบหลัง ส่งให้ทีหลังแบบ 5-6 เดือนถัดมา แล้วเขาก็ชอบครับ ก็เลยได้เข้าไปคุยกัน ตอนนั้นก็รู้สึกว่ามันเริ่มมีทางไปแล้ว เริ่มมองเห็นทางแล้วทีนี้เราเอาเวลามาเรียนบ้างก็ได้ เพราะว่าเรามีทางออกแล้วเพื่อทำเพลง เราจะมีคนมาช่วย แบ่งเวลา แบ่งภาระ ก็เลยกลับมาตั้งใจเรียนมากขึ้น ผมไม่แน่ใจว่าเริ่มมาตั้งใจเรียนตอนไหน แต่น่าจะปี 3 แบบปี 3 เทอม 1 เกรดดีขึ้นเยอะเลย 3.2 ส่วนของเทอม 2 ได้ไป 3.3 เลย เกรดก็เลยกลับมา ผมสบายใจขึ้นเยอะเลยนะ พอเกรดมันดีขึ้นเยอะผมก็สบายใจขึ้นเยอะเลย

ตอนนั้นเรียนอะไรบ้างในช่วงปี 3?

ปี 3 เริ่มลงมือทำแล้วครับ จะมีเรียนแบบวิทยุ ก็ต้องทำเป็น Podcast ทำเป็นรายการวิทยุจะเป็นแค่แบบ simulated ครับ จะไม่ได้ทำแบบเข้าห้องวิทยุ จะเป็นอารมณ์แบบเราถ่ายวิดีโอว่าเราพูดอยู่กับไมค์อย่างนี้มากกว่า เสมือนว่าอยู่ในรายการ แล้วก็มีเรียน Speech การพูดในที่สาธารณะ มีถ่ายทำวิดีโอครับ แต่คณะผมเหมือนจะเรียนทุกอย่างแต่ว่าไม่ได้เจาะลึกมากเท่าไหร่ เหมือนแตะแค่แบบนิด ๆ หน่อย ๆ อย่างนี้ครับ การเขียนสคริป การเขียนรายงานข่าว การเขียนแบ่ง Audio กับ Video ก็เรียน เขาจะเรียนแค่แบบ Basic จริง ๆ ครับ เรียนไม่ลึกเลยครับ

พอเราเรียนไปแล้วเราชอบวิชาไหนมากที่สุดในช่วงเรียน?

นึกไม่ออกแล้ว แต่เอาที่ผมทำได้ดีก่อนแล้วกัน ที่ทำได้ดีคือพวกวิชาเขียนต่าง ๆ อาจารย์บอกว่า ผมเป็นคนเขียนดีนะ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขียนดีจริง ๆ หรือเปล่า แต่เขาบอกว่าเขียนดี ภาษาดีเรียบเรียงเป็น เรียบเรียงแบบโอเคตรงนี้เปิด ตรงนี้คือ Intro เข้าเนื้อหาแบบเชื่อมโยงดี เป็นคนเขียนแบบ Transition ดีอะไรอย่างนี้ครับ ซึ่งผมเขียนผมไม่มี Structure อะไรเลย ผมเขียนตามที่อยากเขียน

มันเหมือนติดมาจากการที่เราเขียนเนื้อร้อง?

ก็มีคนบอกว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกันนะ เพราะผมเขียนเพลงหรือเปล่า? เอาจริง ๆ มันคล้าย ๆ กันนะ คือเปิดมาก็มีเรื่องราวแบบ introduction มาก่อน แบบว่าสถานที่ กับใคร แล้วค่อยมาเป็นเรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไม ผมว่ามีความคล้ายกัน ก็นี่แหละกลับมาก็คือผมเป็นคนที่เขียนได้ดี แต่ที่ผมชอบนึกออกก็น่าจะเป็นการถ่ายวีดีโอ ถ่ายโปรเจคต่าง ๆ ที่เขาให้ทำ ไม่ว่าจะเป็น โปรเจคต่าง ๆ ส่วนมากอาจารย์จะให้เลือกนะว่าจะทำอะไร ไม่ทำเป็น Report ก็ทำเป็น creative Project ขึ้นมา คือเป็นอะไรก็ได้ หรือเป็นวิดีโอ YouTube ก็ได้ ผมชอบทำวิดีโอมากกว่า ส่วนมากผมจะเป็นคนกำกับเองอะไรพวกนี้ เขียนเอง แต่ว่าที่ผมไม่ทำคือผมจะไม่เล่นเอง

ทำไมถึงเลือกที่จะไม่ออกหน้ากล้อง?

เป็นคนเล่นการแสดงไม่ค่อยได้ครับ เป็นคนขี้อาย แบบจริง ๆ เลย เวลาที่ต้องออกมาอยู่เบื้องหน้าคือเวลาร้องเพลงจะไม่อาย แต่ถ้าให้ผมไปเป็นตัวละครในหนังสั้น ใน project เคยเป็นแต่ผมว่าไม่เวิร์คเท่าไหร่ เราชอบเป็นคนวางเรื่องราวมากกว่า เขียนสคริป และกำกับมากกว่าครับ

ปี 4 มีความยากง่ายอย่างไรบ้าง?

ปี 4 เรียนน้อยลงเยอะเลยนะฮะ แต่ว่างานเยอะ พวกแบบ Project ใหญ่ ๆ เยอะมาก จริง ๆ งานเยอะตั้งแต่ปี 3 แล้วแหละ แต่ปี 3 มันเป็นงานเป็นแบบฝึกหัดมากกว่า สมมติเราเรียนเขียน เรียนเขียน Future การเขียน Editorial อย่างนี้ก็จะเขียนเยอะหน่อย อาทิตย์ละ 2-3 Article อันนั้นมันเป็นแบบฝึกหัด แต่ที่นี้ปี 4 คือเราเรียน มีวิชานึงเรียน Major Marketing Major strategy อย่างนี้อันนี้ก็เป็นโปรเจคใหญ่เลย ไม่ใช่แบบฝึกหัดแล้ว คือก็ต้องไปคิดว่าจะทำอะไร ทำเพจ Facebook จะทำอะไร แล้วจะทำยังไงให้มันโปรได้อะไรอย่างนี้ ทำ content อะไรอันนี้คือต้องคิดแล้ว ซึ่งมันไม่เหมือนปี 3 ซึ่งมันไม่ต้องคิดอะไรเยอะไง ขอให้เขียนเรื่องข่าวนี้ เกี่ยวกับเรื่องนี้เกี่ยวกับคนนี้ แล้วเราก็เขียนได้ แต่ตอนนี้ปี 4 แล้วเราก็ต้องคิดแล้ว ปี 4 ได้ทำเพลงรักที่สุดเลยเพราะว่า มัน Project เยอะ โปรเจคนี้มันต้องคิดเองเยอะ

เวลาเราคิดการบ้านเนี่ย ใช้ references จากไหนเป็นหลัก?

ไม่ว่าจะอะไรก็ตามผมไม่เคยใช้ Reference เลย มันจะเริ่มจากจุด ๆ หนึ่งก่อน ยกตัวอย่างตอนที่ทำเพลงก่อนแล้วกัน ระหว่างทำเพลงจะเลือกเครื่องดนตรีขึ้นมาก่อนชิ้นหนึ่ง แล้วชิ้นที่ตามมาหลังจากนั้นจะเป็นชิ้นที่เสียงมันเข้ากันได้ดี หรือ character มันคล้าย ๆ กัน สมมติขึ้นมาเป็น synthesizer พอเครื่องต่อมาก็อาจจะเป็น syn เหมือนกันแต่เป็น syn ที่เสียงสูงกว่าอะไรอย่างนี้เป็น pad อะไรก็ว่ากันไปที่มันกดแล้วมันใช่

แต่ผมจะไม่เคย Reference แบบว่าเอาเพลง คือผมชอบศิลปินหลายคน แต่ไม่เคยจะเอาเพลงเขามาชำแหละ หรือมาทำตามว่าเขาใช้เสียงนี้ งั้นเราเอาเสียงนี้มาบ้างอะไรแบบนี้ คือเรื่องการ Reference เพลงเป็นเรื่องปกติ ทุกอย่างมันมี Reference ทั้งนั้นแหละ แต่ผมก็คิดว่าอยากลองมาจากตรงนี้ก่อนที่จะไป เอาจากที่ชอบเอาจากที่ inspire เรามา ส่วนเรื่องการบ้านเรื่อง creative project เหมือนกันเลย คือผมจะมีภาพในหัวสมมติเป็นวิดีโอแบบนี้ ผมก็จะมีภาพในหัวตอนที่ทำเพลงก็จะมีเสียงในหัว ทีนี้มันก็ต้องลองคิดออกไปแล้วก็ต้อง ร่างออกมาให้มันแมทกับที่เราคิด ที่เราเห็นในหัวให้ได้มากที่สุด

ได้อะไรบ้างจากการเรียนวารสารศาสตร์ที่ธรรมศาสตร์?

คือผมน่ะเวลาบ่นให้ใครฟังผมก็จะบอกว่าไม่ได้อะไรเลย แต่จริง ๆ ผมว่ามันฝังเข้าไปลึก ๆ นึกออกไหม เหมือนเราซึมซับเข้าไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพูด การหาข้อมูล อย่างปกติถ้าผมไม่ได้เรียนผมคิดว่าผมเป็นคนพูดไปเรื่อยนะ พูดแบบไม่มีการอ้างอิง ไม่มีการ Reference อะไรเลย คือเรามาเล่นอันนี้ เวลาเราเขียนอะไร เวลาเราพูดอะไรอาจารย์จะกำชับเสมอว่า You มี Reference หรือเปล่า ที่คุณมาพูดแบบนี้มีที่อ้างอิงไหม? แบบอยู่ ๆ พูดมาได้ไง ข้อมูลมันไม่ตรงนะ เหมือนเราซึมซับตรงนี้มาแล้วแบบเวลาเราจะทำอะไรมันต้องมี Reference เราจะพูดอะไรก็ต้องมี Reference ก็เหมือนมันซึมซับเข้าไปโดยที่ไม่รู้ตัวมากกว่า

แล้วก็คุณอาผมเคยบอกว่า บางทีการเรียนหนังสือมันก็อาจจะไม่ได้ช่วยเรา ทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ แต่มันฝึกเรื่องวิธีคิด ซึ่งผมว่ามันก็จริงนะ ยกตัวอย่าง econ คือเรียนเรื่องอุปสงค์ อุปทานอะไรพวกนี้ คือพอเกิดอย่างนี้อะไรมันจะเป็นอย่างนี้ คือแน่นอนอยู่แล้วว่าเด็กที่มาเรียนวารสาร ไม่น่าจะมีใครจบไปแล้วได้เป็น Economist อะไรอย่างนี้ แต่ว่ามันมัน make sense ตรงที่มันสอนให้เรารู้ว่า ถ้าเกิดอย่างนี้อะไรจะเกิดขึ้นต่อ สรุปมันคือเรื่อง logic หรือเปล่า? วิชานี้มันสอนเรื่อง Logic หรือเปล่า?

เรียนวิชาปรัชญา ตอนนั้นก็งงเหมือนกันว่าเรียนทำไมวะ แต่พอสุดท้ายมันก็ make sense เหมือนกัน ก็เป็นเรื่อง Logic เหมือนกัน เราเกทแล้วว่าพวกนี้มันฝึกวิธีคิด การคิดแบบมีขั้นตอนครับ critical thinking

ผมกลับมาวิชาที่ชอบก็ได้ critical thinking ก็ชอบนะ น่าจะตั้งแต่ปี 1 เลย รู้สึกว่าเรียนแล้ว เออ make sense เป็นวิชาที่สอนให้เราคิดแบบคิดจริง ๆ เลย อย่างสมมติว่าคุณมาพูดอย่างนี้เขาจะยกตัวอย่างมาจากรอบนึงที่คนพูด ยกตัวอย่างประโยคนึงมา แล้วเขาก็จะถามเราว่าอันนี้จริงไหม จริงเพราะอะไร ทำไมถึงคิดว่าจริง รู้ได้ยังไงว่าจริง คือสอนแบบคิด เออคิดจริง ๆ อันนี้ก็ชอบ

อยากให้บอกหนึ่งสิ่งที่เวลามาเรียนวารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์ต้องมี?

ผมต้องบอกว่าต้องมี Passion จริง ๆ นะ คือมาเรียนตั้ง 4 ปี ควรจะมี Passion ควรจะชอบมันจริง ๆ แล้วชัดเจนกับตัวเองว่ามาเรียนเพื่ออะไร จบไปจะทำอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับตรงนี้หรือเปล่า อย่างผมเนี่ยเป็นตัวอย่างที่ดีให้ไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) เพราะว่าไม่ได้มี Passion ที่จะมาเรียนที่นี่ มาเรียนที่นี่เพราะว่าที่บ้านอยากให้มาเรียน แต่ผมคิดว่ามันสำคัญนะ Passion ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เรื่องมาเรียนเนี่ยมาใช้เวลา 4 ปีกับที่นี่ควรจะชอบจริง ๆ

วารสารก็ต้องมองว่าอยากเป็นนักข่าวหรือเปล่า อยากทำวิทยุหรือเปล่า อยากจะทำ digital marketing หรือเปล่าครับ เพราะเขาสอนเรื่องพวกนี้ แต่สอนไม่ได้ลึก ฉะนั้นถ้ายังไม่รู้ว่าชอบทำอะไรที่เกี่ยวกับสื่อเนี่ย ก็จะมาเรียนก็ได้ เพราะสุดท้ายคุณก็ต้องหา Passion ของคุณเองว่าคุณชอบทำอะไร เพราะว่าพอมาเรียนก็จะรู้ว่าเขาให้ทุกอย่างไม่ได้นะ ที่ผมบอกว่าเขาจับแค่นิด ๆ หน่อย ๆ ในแต่ละแขนง ฟิล์มก็ไม่ได้ไปสุด ถ่ายรูปก็ไม่ได้ไปสุด ทีนี้มันก็อยู่ที่ตัวคุณเองแล้ว ถ้ามาเรียน สมมติว่าคุณชอบถ่ายรูป มาเรียนที่นี่ก็เรียนได้ อย่างชอบทำ page Facebook ชอบทำ YouTube ก็มาเรียนที่นี่ได้ แต่ถามว่าเขามีทุกอย่างให้คุณไหม ก็ไม่ได้มีทุกอย่าง สุดท้ายอยู่ที่ตัวเองครับ

ถึงเรื่องผลงานเพลงตัวเองบ้าง ที่ผ่านมาทำมากี่อัลบั้มแล้ว

ที่ปล่อยออกไปมีแค่สองเพลง แต่ว่าผมเป็นคนที่นั่งทำ Demo เรื่อย ๆ ถ้าถามว่ามีกี่เพลง คือมากกว่า 20 เพลงที่อยู่ในไดร์ฟ เพลงที่ปล่อยมีเพลง Polaroid ครับ กับเพลง 12th

Feedback เป็นยังไงบ้าง Polaroid

ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แสนกว่าวิว 12th ก็คือล้านวิวเลย มีคนพูดถึง มี comment เยอะกว่าเยอะเลย

เป็นอย่างไรบ้างพอเห็น Feedback ของทั้งสองเพลงนี้แล้ว

จริง ๆ เพลงแรกผมก็ยังไม่ได้คาดหวังนะครับ ถามว่าในเชิงธุรกิจ Feedback ดีไหม มันก็ไม่ได้ดีอยู่แล้วแหละสำหรับธุรกิจ เพราะมันแทบจะไม่ได้ผลตอบแทนในเชิงมูลค่าการลงทุนเลย แต่ว่าสำหรับศิลปิน สำหรับผม ผมชอบที่ทำออกมา ผมได้ปล่อยก็ดีใจแล้ว คือเพลงแรกเป็นฝันที่ผมอยากได้มานานแล้วคือมีเพลงเป็นของตัวเองปล่อยออกมาก็โคตรดีใจแล้ว Feedback ไม่ได้ดีเท่าไหร่แต่ว่าก็ไม่เป็นไร เพราะมันก็ยังมีเพลงต่อไปเรื่อย ๆ

เพลงสองก็คือ Feedback ดีขึ้นมาเยอะเลย 100% เลยมั้งฮะจากแสนแล้วกลายมาเป็นล้านนึง ก็สิบเท่า ก็เออดี ก็ happy  แต่มันก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้สร้าง Impact อะไรขนาดนั้น คือผมฝันไกลนิดนึง คือผมอยากจะเป็นคนนำเทรนด์แนวเพลงนี้ แนวเพลง Alternative คือมันเป็นเพลงที่ไม่ได้ฮิต ไม่ได้รันวงการเพลงไทยเท่าไหร่ คือเพลงที่รันวงการก็จะเป็น Pop ล่าสุดมาก็เป็น Hip-hop เราก็รู้กันอยู่แล้วว่า Hip-hop รันวงการมากตอนนี้ ยุคนี้เราให้เขาเลย แต่ที่ผมสงสัยก็คือ Indy จะมีวันของมันไหม จะมีวันมาไหม แต่ตอนนี้ Indy ก็ไม่ใช่ว่าไม่มาก็มาอย่าง safeplanet Anatomy Rabbit อะไรพวกนี้ก็ดัง แต่ดังใน Indy ไม่ได้ Mass แต่ผมอยากให้มีวันที่ Indy กลายเป็น Mass มันจะเจ๋งมากเลย

อนาคตวงการเพลงของเราจะอย่างไรต่อ หลังจากเรียนจบแล้ว?

เดี๋ยวผมจบผมจะนั่งทำเพลงแบบจริงจังเลย จะนั่งทำเพลงแบบเยอะ ๆ เลย แต่ในระหว่างเดียวก็จะทำงาน part-time ด้วย ตอนนี้ก็หางาน part-time อยู่ คือเหตุผลที่ไปทำไม่ได้ร้อนเงินหรืออะไรนะครับ แต่ที่ไปทำเพราะว่าที่บ้านไม่อนุญาตให้อยู่บ้านแล้วทำเพลงทั้งวันทั้งคืนอย่างเดียว ต้องจ่ายค่าไฟ ต้องจ่ายค่าเช่า คือที่บ้านผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินเลยนะ แต่คือจะไม่ให้ผมอยู่บ้านอย่างเดียว ต้องช่วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ต้องจ่ายค่าเช่าบบ้านด้วย คือบ้านเป็นบ้านของปู่กับย่าผมนะ ไม่ได้ต้องจ่ายค่าเช่าให้ใครแต่เขาจะเก็บค่าเช่าผม

คือเขาอยากให้เราหาเงินว่างั้น?

ใช่ฮะ คือเขาจะเก็บค่าเช่าผม ผมก็โอเคไม่มีทางเลือกก็ต้องไปหางาน part-time ทำซึ่งเท่าที่คุยตกลงกับผู้จัดการเอาไว้ก็มีเป็น par-time 3-4 วันต่ออาทิตย์ อย่างต่ำ 20 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ ก็ไม่แย่ ไม่แย่เลย ที่เหลือวันที่ไม่ได้ทำงานก็มาทำเพลงครับผม

อยากฝากอะไรให้กับคนที่รู้สึกว่าฉันกำลังจะมาเรียนนิเทศศาสตร์หรือมาเรียนวารสารศาสตร์ที่ธรรมศาสตร์บ้าง บอกน้อง ๆ ที่อยาก Admission อยาก TCAS เข้าคณะนี้

ถามตัวเองก่อนว่าทำไมถึงอยากเข้า มันต้องมีเหตุผลก่อน ก่อนที่จะมาเข้า อย่าเข้าตามเพราะว่ามันเป็นคณะที่ดัง เป็นคณะที่มีเพื่อน ๆ อยากจะเข้ากันเยอะ มีรุ่นพี่เรียนกันเยอะอย่างนี้ ถามตัวเองก่อนว่าอยากเข้ามาเรียนเพราะอะไร สำคัญสุดคือมาเรียนแล้วจะได้อะไร ไม่ใช่มาเรียนเพราะมันเท่ มาเรียนเพราะมันเป็นธรรมศาสตร์ มาเรียนเพราะว่ามันเป็นนิเทศฯอะไรอย่างนี้ อันนี้มันจะไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะมาเรียนแล้ว ถามตัวเองก่อนว่าชอบจริง ๆ หรือเปล่าแล้วมาเรียนทำไม ต้องการอะไรจากที่นี่ อยากได้อะไร อนาคตเราอยากได้ความรู้อะไรไป ไม่ใช่เรียนตามเทรนด์หรืออะไรพวกนี้

ฝากผลงานเพลงได้เลยครับ

แพททริค อนันดานะครับฝาก EP เดี๋ยวมี EP กลางปีนี้ เดี๋ยวจะมีซิงเกิ้ลที่ 3 ออกมาก่อนเป็นซิงเกิ้ลที่เปิดตัว EP ครับผม น่าจะออกมาเป็นซิงเกิ้ลที่ 3 ส่วน EP ก็จะตามมาประมาณน่าจะมิถุนายน ไม่เกินครึ่งปีน่าจะออกมามี 5-6 เพลง รวม Polaroid รวม 12th แล้วซิงเกิ้ลที่ 3 ด้วยก็จะมีเพลงใหม่ประมาณ 3 เพลงครับผม


ถ่ายภาพโดย : กาศิพัฒณ์ วงศ์วิทยกำจร
สัมภาษณ์และเรียบเรียงโดย : กฤตนัน ดิษฐบรรจง
แกะเทปโดย : Nok Kanokon